เฮลโหลว อิทมี สาวๆ พี่น้องชาว Clubsister ที่น่ารักทุกคนค่ะ ช่วงนี้อากาศครึ่มๆ หมองๆ ฝนตกอยู่บ่อยๆ เราเลยมีความคิดที่ว่าอากาศแบบนี้น่าจะเหมาะกับหนังครึ่มๆ สีเทาๆ และหนังฟีลแบบนี้จะเป็นแนวไหนไปไม่ได้นอกจากโรแมนติก ดราม่า และแน่นอนเกริ่นมาขนาดนี้ Clubsister ขอแนะนำ “หนังเรียกน้ำตา ใน Netflix” บอกได้เลยว่า แต่ละเรื่อง จุก เจ็บ จบ! ทุกเรื่อง และเตือนก่อนเลยว่า เจรียมทิชชู่และกำไว้ให้แน่น มาเริ่มที่เรื่องแรกกันเลยค่ะ
5 หนังเรียกน้ำตา Netflix เศร้า ซึ้ง ตรึงใจ!
เรื่องที่ 1: The Fault in Our Stars (2014)
ระดับความเศร้า: 4 / 5
คะแนนที่ได้จาก IMDb: 7.7 / 10
รับชมภาพยนตร์ได้ที่นี่: Watch Now (คลิกเพื่อรับชม)
สาวๆ คนไหนที่เป็นคอหนังโรแมนติก ดราม่า น้ำตาแตกอยู่แล้วนั้น จะต้องรู้จักและคุ้นเคยกับหนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องนี้เป็นแน่ The Fault in Our Stars ภาพยนตร์รักโรแมนติก ดราม่า ที่สร้างมาจากนิยายชื่อดังที่ใช้ชื่อเรื่องเดียวกัน พูดถึงเรื่องราวของเฮเซล หญิงสาวสุดแสนอาภัพ เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับเครื่องออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเธอป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด
ถึงแม้ว่าจะทำการรักษาและผ่าตัดมาหลายครั้งมันก็ไม่ได้ทำให้เธอดีขึ้นไปกว่าเดิม ในวันหนึ่งเฮเซลเดินทางไปเข้าร่วมกลุ่มบำบัดผู้ป่วนโรคมะเร็ง เธอบังเอิญเจอ ออกัสตัส เด็กหนุ่มที่สูญเสียขาไปข้างหนึ่งจากมะเร็งกระดูก เขาและเธอเมื่อเจอกันนั้น เหมือนมองเห็นตัวตนของกันและกันในตั้งแต่ครั้งแรก
ทั้งคู่พูดคุยและเป็นเพื่อนกันมาเรื่อยๆ ทำให้รู้จักซึ่งกันและกันมากขึ้น และสิ่งที่ทั้งคู่ชอบเหมือนกันคือ หนังสือนิยายเรื่อง An Imperial Affliction เฮเซลชื่นชอบนิยายเรื่องนี้มาก แต่ทว่าเธอรู้สึกติดใจกับตอนจบของเรื่อง เธอจึงเขียนจดหมายเพื่อพูดคุยกับนักเขียน และนักเขียนก็ตอบกลับเธอ พร้อมทั้งเชิญให้เธอมาเที่ยวและเจอเขาที่ Amsterdam ด้วยเหตุนี้ออกัสตัส เลยทำการเซอร์ไพร์สเธอด้วยการจัดทริปเที่ยวในครั้งนี้
เราอยากจะบอกว่าหนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องนี้ เป็นหนังที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น และความเหงาได้ในเวลาเดียวกัน เป็นหนังที่พยายามบอกกับเราให้รู้ว่า ชีวิตเรามันสั้นจะตาย หากอยากทำอะไรให้ตัวเองมีความสุขจงทำมันซะ ไม่เพียงแค่นั้น หนังเรื่องนี้สะท้อนความคิดและวิถีชีวิตของคนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี
เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าในวันๆ นึงเธอจะอาการดีขึ้นหรือแย่ลง สิ่งที่วันนี้คุณจะทำได้คือ ใช้ชีวิตกับคนที่รักให้ได้มากที่สุดถึงแม้การจากลาเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่สำหรับบางคน อาจจะเหมาะกับการอยู่ในใจ เผื่อไว้ให้คิดถึงก็คงเพียงพอ
เรื่องที่ 2: Notebook
ระดับความเศร้า: 4.5 / 5
คะแนนที่ได้จาก IMDb: 7.8 / 10
รับชมภาพยนตร์ได้ที่นี่: Watch Now (คลิกเพื่อรับชม)
หนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องนี้ เป็นหนังโรแมนติก ดราม่า ที่ติดอันดับ 1 ตลอดกาลของใครหลายๆ คน อีกทั้งเป็นหนังที่แจ้งเกิดของ Rachel McAdams เจ้าแม่หนังโรแมนติก ดราม่าเลยก็ว่าได้ โดย The Notebook เป็นหนังดราม่าระดับตำนาน ที่สะท้อนให้เห็นคำว่า “รักแท้ มีอยู่จริง” ได้ดีที่สุดเรี่องหนึ่ง โดยเรื่องราวพูดถึงความรักของอัลลี่ หญิงสาวผู้ดีที่มาใช้ช่วงหยุดซัมเมอร์กับที่บ้านของเธอในบ้านพักต่างอากาศ
และในขณะที่เธอกำลังเที่ยวเล่นอยู่นั้น เธอก็บังเอิญเจอกับช่างไม้หนุ่มบ้านที่ดูทรงสเน่ห์อย่าง โนอาห์ เมื่อทั้งสองสบตากัน โนอาห์บอกกับตัวเองทันทีว่า เขาสนใจในตัวผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน โนอาห์เดินหน้าตามจีบอัลลี่ไม่เว้นแต่ละวัน จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตกลงคบหาดูใจกันเป็นแฟน เรื่องราวของชีวิตทั้งคู่ดูเหมือนจะราบรื่น ครอบครัวของโนอาห์เป็นปลื้มกับอัลลี่เป็นอย่างมาก
แต่กลับกัน ครอบครัวของอัลลี่นั้น ไม่ได้มองว่าโนอาห์เป็นคนที่น่าคบหา เพราะด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจน และด้วยความต่างนี้ ทำให้ครอบครัวของอัลลี่รีบย้ายกลับบ้านในเมืองของตนก่อนกำลัง ทำให้ทั้งสองต้องลาจากกัน
The Notebook เป็นเรื่องราวความรักที่ไม่มีวันตาย ของคนทั้งสองคน หากมองแบบเผิน เราว่าเรื่องนี้ก็คงเป็นหนังน้ำเน่าเรื่องหนึ่งแหละ แต่ทว่าเนื้อเรื่องและวิธีการเล่าเรื่องนั้น
ทำให้เนื้อเรื่องที่มันดูเหมือนไม่มีอะไร ทำให้มันมีกลิ่นอาย และอบอวลไปด้วยความรักในแบบที่เราสัมผัสได้ เราจะได้เห็นความรักของคนๆ หนึ่งที่มุ่งมั่นและเดินทางตามหารักที่ใช้สำหรับเรา โดยที่ไม่มีวันท้อ และสุดท้ายความรักนั้น ไม่ใช่การเริ่มต้นด้วยกัน แต่อาจจะเป็นการจบลงด้วยกันเสียมากกว่า
- ไม่ดูไม่ได้แล้ว! แนะนำ 4 หนัง LGBT ขึ้นหิ้ง บอกเลยเพศไหนก็ดูได้
- จิกเก่ง! 5 หนังเสียดสีสังคม ที่เหล่าสามัญชนอย่างชาวเรา ควรดู!
- เอาใจคนขี้เกียจอ่านซับ! 10 หนังไทยสนุกๆ บน Netflix มีแต่เรื่องฮิตห้ามพลาด
เรื่องที่ 3: 6 Years
ระดับความเศร้า: 3.5 / 5
คะแนนที่ได้จาก IMDb: 5.6 / 10
รับชมภาพยนตร์ได้ที่นี่: Watch Now (คลิกเพื่อรับชม)
หนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องต่อไปนี้เป็นผลงาน Original Netflix ที่ดีไม่แพ้เรียกอื่นๆ อีกทั้งยังสอดแทรกความเป็น Coming of Age ในช่วงการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวอีกด้วย
6 Years เป็นหนัง American Romantic Drama พูดถึง ‘เมล’ และ ‘แดน’ คู่รักวัยรุ่นที่คบหาดูใจกันตั้งแต่เรียนมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัยนาน 6 ปี
ความรักของทั้งคู่ก็เหมือนความรักวัยรุ่นทั่วไปที่เต็มไปด้วยความสนุก คึกคะนอง ใช้ชีวิตในแต่ละวันแบบไม่ต้องคิดหรือมีหน้าที่อะไรต้องทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนทุกคนต้องก้าวข้ามช่วงวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ภาระหน้าที่แต่รวมถึงจิตใจของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงกว่าที่ดูหนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องนี้ อยากบอกว่าหนังถ่ายทอดความรักวัยรุ่นตอนปลายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันที่ตัวละครทำ ความคิด ความอ่านของตัวละครแต่ละตัว โดยเฉพาะในช่วงของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่วัยรุ่นตอนปลายทุกคนต้องเจอ คือการเปลี่ยนแปลงในเรื่องภาระหน้าที่ ที่ต้องก้าวจากนักเรียนไปเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องดูแลตัวเอง
เพราะแบบนี้จึงทำให้เราได้เห็นว่าคู่รักหลายคู่มักมีจุดแตกหักจากเรื่องแบบนี้รองลงมาจากเรื่องนอกใจ เพราะเรามักชินกับนิสัยเดิม ๆ ในวัยเด็กที่เราอยู่ด้วยกันจนไม่แคร์อะไรนอกจากความรักระหว่างเด็กน้อย แต่เมื่อเติบโตขึ้น มีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมาก ไม่ใช่แค่คนข้างๆ เพียงอย่างเดียว มันรวมไปถึงครอบครัว อนาคต และการเติบโตของตนเอง
เรื่องที่ 4: Marriage Story
ระดับความเศร้า: 5 / 5
คะแนนที่ได้จาก IMDb: 8 / 10
รับชมภาพยนตร์ได้ที่นี่: Watch Now (คลิกเพื่อรับชม)
หากให้ยกหนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องดีมา 1 เรื่อง เราคงยกหนังเรื่องนี้ให้ติดอันดับ 1 ในใจ ณ ตอนนี้ กับ Marriage Story หนังโรแมนติก ดราม่า สะท้อนปัญญาครอบครัวในแบบผู้ใหญ่ ที่จับต้องได้ จุก หน่วง น้ำตาร่วง แถมบางช่วงแฝงไปด้วยความอบอุ่นอมเทา Marriage Story เป็นภาพยนตร์โรแมนติก ดราม่า ที่รังสรรค์การสร้างจาก Netflix การันตีความเจ๋งกับการถูกเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์มากมายหลากหลายสาขา
โดยหนังพูดถึงเรื่องราวของ นิโคล อดีตนักแสดงละครเวทีชื่อดัง กำลังดำเนินการฟ้องหย่าสามีของเธอ ชาลี ซึ่งทั้งสองคนนี้มีลูกชายที่น่ารักด้วยกัน 1 คน เรื่องราวความรักและชีวิตของทั้งคู่เป็นปกติเหมือนเดิมแบบนี้ทุกครั้ง ไม่เคยเปลี่ยน แต่ทว่านิโคลเธอกลับมีความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมกับสามีของเธอ อีกทั้งเธอยังระแคะระคายว่าสามีเธอนั้น อาจจะกำลังมีอะไรกับเลขาคนสนิทของเขาอยู่ก็ได้
Marriage Story เป็นหนังเรียกน้ำตา Netflix ที่ถ่ายทอดชีวิต ความคิด จุดเริ่มต้นและจุดจบของความรักฉันผัวเมียได้เป็นอย่างดี หลายต่อหลายพูดว่าในยามที่รักกันนั้นให้อธิบายความรู้สึกรักหรือเหตุผลที่จะรักมักไม่มี แต่หากเวลาจะตัดความสัมพันธ์นั้น ไม่เพียงกี่เหตุผลก็สามารถทำให้เลิกกันได้
กับเรื่องนี้ก็เช่นกัน Marriage Story ทำให้เราสัมผัสถึงความรักที่เปลี่ยนไปตามการเวลาของสามีและภรรยา พร้อมทั้งความฝันของตนที่ยอมเสียสละเพื่อคนในครอบครัว ในเมื่อเราพยายามมากันมากพอแล้ว และฝืนต่อไปไม่ไว้ สิ่งที่ทำได้คือ ปล่อยและยอมรับมัน ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตของตน เหลือเอาไว้เพียงความรู้สึกที่ดีต่อกันก็พอ
ปูลู หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เราคิดว่าเล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของคนดูได้ดี ยิ่งฉากการทะเลาะกันในห้องอพาทเม้นต์ เทคนิค Long Take แพรวพราวสุด ดึงอารมณ์คนดูได้อย่างเฉียบขาด
เรื่องที่ 5: Before We Go
ระดับความเศร้า: 4 / 5
ระดับความเศร้า: 6.8 / 10
รับชมภาพยนตร์ได้ที่นี่: Watch Now (คลิกเพื่อรับชม)
หนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องสุดท้าย เป็นหนังที่สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า บางครั้งความรักก่อตัวขึ้นได้จากการพบกันแค่ไม่กี่วินาที แต่มันจะติดอยู่ในใจนั้นตลอดไป ไม่เพียงแค่นั้นหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ทำให้เราสัมผัสได้ว่า รักกันมากเท่าไร สุดท้ายความจริงเป็นอย่างไรต่างคนต่างรู้ดี Before We Go พูดถึงเรื่องราวของ นิค ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เธอพบเจอกับหญิงสาวธรรมดาอีกคนที่มีชื่อว่า บลู๊ค ณ สถานีรถไฟใต้ดิน ยามค่ำคืนที่กรุงนิวยอร์ค
บลู๊คหญิงสาวแสนโชคร้ายเธอโดนขโมยกระเป๋าสตางค์ ตกรถไฟ โทรศัพท์เสีย เรียกได้ว่าหมดหนทางในการจะเอาชีวิตให้รอดในคืนนี้ เมื่อนิคเห็นเช่นนี้แล้ว เลยเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือเธอ ในตอนแรกบลู๊คเองก็ไม่ได้ไว้ใจนิคซะเท่าไร แต่เมื่อได้พูดคุยและรู้จักกันแล้วนั้น ทำไมเธอและเขาเข้าใจซึ่งกันและกันเลยว่า “รักแรกพบ” เป็นอย่างไร
หนังเรียกน้ำตา Netflix เรื่องนี้เป็นหนังที่เรียกได้ว่า ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นได้แม้ฉากในหนังจะเป็นช่วงเวลากลางคืนทั้งหมดเลยก็ตาม อีกทั้งหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพียงคืนเดียว สิ่งที่เราจะได้เห็นเลยนั้นคือความรักที่ทั้งคู่ให้กันโดยไม่เขอะเขิน และมันแสดงออกผ่านอารมณ์ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่ทั้งคู่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงแม้ว่าความจริงที่เขาต้องเจอ จะมาพร้อมแสงอาทิตย์ในเช้าวันหม่ก็ตาม แต่ในคืนนี้ขอมีเพียงแค่เราก็เกินพอแล้ว
Photo Credit:
Stay connected