สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน แล้ววันนี้ก็มาถึงสำหรับสาวๆ คนไหนที่ชื่นชอบและรักในการชมภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ชื่นชอบหนังรางวัลแล้วนั้น จะต้องไม่พลาดการประกาศรางวัลที่เรียกว่ายิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้กับ “การประกาศรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 93 (2021)” ในวันนี้ (25 เมาษายน 2021) เวลาประมาณ 05.30 ของประเทศไทย ได้เริ่ม LIVE ฉายงานประกาศรางวัลที่เรียกได้ว่าทรงเกียรติสำหรับคนทำหนัง วันนี้ Clubsister ขอรวบรวมมาให้ดู กับ “สรุป รางวัล oscar 2021 ทั้ง 23 รางวัล ใครได้อะไร เรื่องไหนเจ๋ง มาดูกัน!” ค่า อย่ารอช้ามาเริ่มที่รางวัลแรกกันเลย
“สรุป รางวัล oscar 2021 ทั้ง 23 รางวัล ใครได้อะไร เรื่องไหนเจ๋ง มาดูกัน!”
รางวัลที่ 1: BEST ORIGINAL SCREENPLAY
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Promising Young Woman
รางวัลแรกของการสรุป รางวัล Oscar 2021 ได้แก่ “Promising Young Woman” โดยผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้คือคนเดียวกับผู้กำกับ ที่เรียกได้ว่าเธอมากความสามารถ และทุ่มเทแรงกายแรงใจในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องราวของ แคสซี่ อดีตนักศึกษาแพทย์สาวชั้นปีสุดท้ายที่เรียกได้ว่าอนาคตค่อยข้างไกล แต่แล้วในวันหนึ่งเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งเธอผันตัวมาเป็นพนักงานในร้านกาแฟ งานอดิเรกของเธอ คือการแต่งตัวสวยเพื่อไปตามล่าหาผู้ชายแสนดีที่คิดว่าเธอเมาไปส่งบ้าน พร้อมกับสอนบทเรียนอันมีค่าให้กับพวกเขา แต่ทว่างานแค้นนี้เหมือนจะเริ่มหยุดไป เมื่อแคสซี่เจอกับไรอัน เพื่อนสมัยเรียนที่เข้ามามอบความรักให้กับเธอ
รางวัลที่ 2 – 4: BEST DIRECTOR / BEST PICTURE / BEST ACTRESS
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Nomadland
เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่เหมือนจุดศูนย์รวมความสำเร็จและพลิกวงการเวทีออสการ์เลยก็ว่าได้ กับสรุป รางวัล Oscar 2021 อย่างเรื่อง “Nomadland” ที่คว้ารางวัลเด่นๆ ไปถึง 3 รางวัล
กับ ผู้กำกับยอดเยี่ยมแห่งปี, ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี และ นักแสดงนำหญิงยอดเยี่มแห่งปี โดยผู้กำกับหญิงยอดเยี่ยมคือ “Chloé Zhao” เธอเป็นผู้กำกับหญิงคนที่ 2 ของโลกที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมบทเวทีออสการ์ ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังเป็นผู้กำกับหญิงเอเชียคนแรกของโลกที่ได้รับรางวัลนี้อีกด้วย
และแน่นอนกับรางวัลถัดมาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมกับ คุณป้า “Frances McDormand” อย่างที่เรารู้กันเธอคว้ารางวัล นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมไปแล้วเมื่อปี 2018 และอีกครั้งในปีนี้ โดย Nomadland เป็นเรื่องราวของ เฟิร์น หญิงชราวัยเกษียณที่สามีตาย และเธอกำลังประสบปัญหาทางด้านการเงิน จนทำให้เธอต้องตัดสินใจหนีชีวิตที่มีมาอาศัยอยู่บนรถ RV ขับรถไปเรื่อยๆ สมัครงาน Part Time เพื่อได้เงินพอประทังชีวิต และใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องคิดอะไร เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วย ความคิดและชีวิตของคนที่ตามหาความหวังและความสุขในแบบง่าย กับคำว่า “แค่ใช้ชีวิต”
รางวัลที่ 5 – 6: BEST ACTOR / BEST ADAPTED SCREENPLAY
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: The Father
เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่บอกได้เลยว่ามาสูสีกับ Nomadland จริง (ตอนแรกเราลุ้นว่าเรื่องนี้น่าจะได้ Best Picture) แต่ทว่าในสรุป รางวัล Oscar 2021 เรื่อง “The Father” คว้ารางวัลไปได้ 2 สาขากับ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ที่ตกให้กับ “Anthony Hopkins” โดยในอดีตเขาเคยคว้ารางวัลสาขานี้มาแล้วกับภาพยนตร์เรื่อง The Slient of Lamb และ อีกรางวัลที่ได้รับคือบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม The Father เป็นเรื่องราวของ คุณพ่อวัยชรา ที่อาศัยอยู่ในแฟลทเพียงลำพัง สามารถใช้ชีวิตได้เองตามปกติ และเขามักปฏิเสธความห่วงใยของลูกสาวที่จะจ้างคนดูแลอยู่บ่อยครั้ง จนในที่สุดร่างกายของเขาก็เริ่มฟ้อง เริ่มมีอาการมือสั่น หยิบจับของไม่ค่อยถนัด หลงๆ ลืมๆ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ในชีวิตไปบ้าง จนทำให้ลูกสาวตัดสินใจปฏิเสธและออกจากงานมาเพื่อดูแลคุณพ่อที่กำลังจะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์
รางวัลที่ 7 – 8: BEST SUPPORTING ACTOR / BEST ORIGINAL SONG
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Daniel Kaluuya Judas and the Black Messiah
ภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การดู อีกทั้งควรค่าแก่การชื่นชมโดยไม่ต้องสงสัย กับสาขา นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และ เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยนักแสดงที่คว้ารางวัลนี้ไปได้แก่ “Daniel Kaluuya” เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเขาในเรื่อง Get Out เมื่อปี 2018 แต่ทว่าในครั้งนี้เขาได้รับรางวัลกับบทบาทที่สร้างขวัญและกำลังใจกับคนดูเป็นที่สุด นั่นก็คือบท Fred Hampton ผู้นำกลุ่ม Black Panter ในพรรคชุนนุม Chicago เป็นเรื่องราวของสหรัฐอเมริกาในปี 1942 ที่มีการเรียกร้องสิทธิของมนุษยชนกับสงครามเวียดนาม รวมถึงความเท่าเทียมเรื่องสีผิวของคนดำอีกด้วย และแน่นอนหากใครได้ดูเรื่องนี้จะต้องคุ้นกับเพลงประกอบที่ชวนให้ถึงนึกหนังเรื่องนี้กับเพลง “Fight For You” แต่งคำร้องและขับร้องโดยวง H.E.R
รางวัลที่ 9: BEST SUPPORTING ACTRESS
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Minari
เป็นอีกหนึ่งตัวละครและความสามารถในการแสดงของ “Yuh-Jung Youn” ที่ทำให้คนดูอย่างเราหลงรักและพลอยอบอุ่นหัวใจไปกับเธอ “Minari” เป็นเรื่องราวของ ครอบครัวชาวเกาหลีในต่างแดน ทอพยพถิ่นฐานจากแคนาดา มาอยู่ ณ ประเทศเสรี เพื่อทำตามความฝันของผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว พร้อมกับความคัดค้านในใจลึกๆ ของภรรยา แต่ทว่าเขาได้เลือกเส้นทางนี้แล้ว ณ ตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือ “ยอมรับสิ่งที่ตัดสินใจ และ ทำมันให้ดีที่สุด”
รางวัลที่ 10 – 11: BEST CINEMATOGRAPHY / BEST PRODUCTION DESIGN
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Mank (คลิกเพื่อรับชม)
เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาๆ ต่างเยอะมากๆ แต่ทว่า “Mank” ได้คว้ารางวัลในสาขา การบันทึกภาพยอดเยี่ยม และ ออกแบบการผลิตยอดเยี่ยม มาครองได้ เรียกได้ว่าเราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ การถ่ายทอดความเป็นภาพยนตร์ขาวดำที่บอกได้เลยว่า สวย ดี และ ดึงดูดสายตาคนดู ชวนให้นึกถึงหนังฟิล์มขาวดำสมัยก่อนไม่มีผิด ไม่เพียงแค่นั้น ฉากและการ Production ต่างๆ สมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ “Mank” เรื่องราวช่วงชีวิตโค้งสุดท้ายของนักเขียนบทอย่าง Herman J. Mankiewicz ที่เรียกได้ว่าเขากำลังถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของความขมขื่นและความน่ายินดี กับบทหนังที่ขึ้นหิ้งสำหรับวงการ Hollywood อย่าง “Citizen Kane”
สรุป รางวัล Oscar 2021 มากันได้ครึ่งทางแล้ว ไปต่อกัน..
รางวัลที่ 12 – 13: BEST COSTUME DESIGN / BEST MAKEUP AND HAIRSTYLING
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Ma Rainey’s Black Bottom (คลิกเพื่อรับชม)
สรุป รางวัล Oscar 2021 ครั้งที่ 93 ในสาขาที่เรียกได้ว่ามีความละเอียดและประณีตไม่น้อยไปกว่าสาขาอื่นๆ อย่างเครื่องแต่งกาย, แต่งหน้าและทำผม ซึ่งภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลนี้ไปได้แก่ “Ma Rainey’s Black Bottom” เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนสังคมในเรื่องความเท่าเทียมที่ละมุนที่สุดเท่าที่เคยดูมา ว่าด้วยเรื่องราวของ ราชินีเพลงบลูส์อย่าง “Ma Rainey” เธอได้เข้าห้องอัดเสียงพร้อมกำลังอัดเพลงในห้องอัด ณ กรุงชิคาโก ในช่วงฤดูร้อน แต่ทว่าห้องอัดของเธอร้อนกว่าเป็นไหนๆ เพราะการทำงานของเธอนั้น ต้องร่วมมือกับคนขาว นอกจากความละมุนของเสื้อผ้าหน้าผม และบทแล้วนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของ Chadwick Boseman อีกด้วย
รางวัลที่ 14 – 15: BEST FILM EDITING / BEST SOUND
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Sound of Metal
เป็นภาพยนตร์ที่สื่อสารด้วยเสียงและการได้ยิน แน่นอนก็ต้องเป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่รางวัลเหล่านี้ด้วยเช่นกัน “Sound of Metal” คว้ารางวัลออสการ์ในสาขา การตัดต่อยอดเยี่ยม และ การลำดับเสียงยอดเยี่ยม เรื่องราวของ รูเบน มือกลองหนุ่มวงร็อคเมทัลอนาคตไกล อีกทั้งยังเป็นที่น่าจับตามอง เขารักในการตีกลองและเสียงเพลงอันหนักแน่น ทว่าในวันหนึ่งเขาเหมือนสูญเสียการได้ยินไปชั่วขณะ และอาการเหล่านี้ยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขากำลังจะกลายเป็นคนหูหนวกในไม่ช้า ด้วยเหตุนี้ทำให้แฟนสาวและสมาชิกที่ร่วมวงของเขา พาเขาไปที่ศูนย์เยียวยาจิตใจของผู้พิการทางการได้ยิน เพื่อให้รูเบนเลือกเส้นทางของตนเองว่าจะเดินตามความฝันและความรัก หรือ ความรับความจริงและใช้ชีวิตใหม่
รางวัลที่ 16 – 17: BEST ANIMATED FEATURE / BEST ORIGINAL SCORE
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Soul
จากการสรุป รางวัล Oscar 2021 เราขอยกให้อนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นอนิเมชั่นที่ช่วยเยียวยาและเติมเต็มความอบอุ่นให้กับจิตใจได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ และเรื่องนี้คือ “Soul” คว้ารางวัล 2 สาขากับ ภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม และ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม พูดถึงโจ คุณครูว่าจ้างที่รักและมีความชอบในดนตรีแจ๊สซ์เป็นชีวิตจิตใจ ในวันหนึ่งเขาได้ร่วมออดิชั่นเข้าเป็นนักเปียโนให้กับวงแจ๊สซ์ชื่อดังของเมือง และในที่สุดเขาก็ทำตามความฝันของเขาสำเร็จ แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังกลับบ้านไปเตรียมตัวนั้นเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้วิญญาณของเขาหลุดไปอีกภพหนึ่ง จนเดินไปเจอ 22 ดวงวิญญาณที่เฝ้าหา Passion ในชีวิตเพื่อรอไปเกิด ทำให้ทั้งคู่ออกเดินทางทำตามเป้าหมายของตน จนได้เจอสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันกับคำง่ายๆ ที่ว่า “ชีวิต”
ราลวัลที่ 18: BEST VISUAL EFFECTS
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Tenet
เมื่อต้นปี 2020 ที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งหนังของผลงานผู้กำกับสร้างชื่อและเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่กลุ่มคอหนังรอคอยกับผู้กำกับ Christopher Nolan อย่าง “Tenet” และสำหรับเรานั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงได้ เพราะ CG และเทคนิคภาพอลังการแบบขั้นสุดจริงๆ
รางวัลที่ 19: BEST INTERNATIONAL FEATURE FILM
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Another Round (Druk)
จากสรุป รางวัล Oscar 2021 ในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามองมากๆ อีกหนึ่งเรื่อง (ใจจริงแอบเชียร์ของฮ่องกง) ซึ่งผู้ที่คว้าางวัลไปได้นั้นคือ “Another Round (Druk)” พูดถึงอาจารย์เพื่อนซี้ 4 คนที่อยากหากิจกรรมคลายเครียดโดยการขอเมากับการจิบเบียร์หรือเหล้า เพื่อให้สมองปลอดโปร่ง และ สุขภาพจิตดีซักหน่อย แต่ทว่าไปๆ มาๆ สถานการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ “มีสติและปล่อยให้มันเป็นไป ยอมรับมัน”
รางวัลที่ 20: BEST DOCUMENTARY
ภาพยนตร์ที่ได้: My Octopus Teacher (คลิกเพื่อรับชม)
เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์รางวัลจาก NETFLIX “My Octopus Teacher” เป็นสารคดี ที่เก็บเกี่ยวเรื่องราวความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ ระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และสัตว์ เราจะได้สัมผัสได้ถึงมิตรภาพและความสวยงามอย่างธรรมชาติ ที่จะสอนบทเรียนอันมีค่า ให้คุณได้เรียนรู้ไปกับมัน
รางวัลที่ 21: BEST DOCUMENTARY (SHORT SUBJECT)
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Colette (คลิกเพื่อรับชม)
เป็นอีกหนึ่งสารคดีที่ควรค่าแก่การดู สารคดีที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงและความสูญเสียที่เกิดขึ้นระหว่างสงครามการเหยียดเชื้อชาติที่เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุดแห่งประวัติศาสตร์โลกใน 24 นาที กับ ” Colette” เรื่องราวของ หญิงชราวัย 90 ปี ที่เมื่อย้อนกลับไปเมื่อเธออายุยังอายุประมาณ 16 ปี เธอเป็นเด็กสาวชาวฝรั่งเศส ที่ถูกจับเข้าไปในสถานกักกันของนาซีพร้อมกับครอบครัวของเธอ ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เธอสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รัก แถมยังสร้างรอยแผลที่ไม่มีวันจางหายให้กับเธอจนถึงทุกวันนี้
รางวัลที่ 22: BEST SHORT FILM (LIVE ACTION)
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: Two Distant Strangers (คลิกเพื่อรับชม)
อีกครั้งกับภาพยนตร์ที่มาจา NETFLIX บอกเลยว่าปีนี้ NETFLIX กวาดรางวัลจากออสการ์ไปไม่น้อยเลยทีเดียว (นี่ยังไม่รวมบางเรื่องที่ Nominee นะ) และ Short Film ที่ได้รับรางวัลคือ “Two Distant Strangers” เป็นภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ของความเท่าเทียม และการลบความเกลียดชังที่มีต่อคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ผ่านการเล่าเรื่องแบบ Time Loop ซึ่งส่วนตัวเรามองว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ตีความได้อย่างลึกซึ้ง จนส่วนตัวแล้วชวนให้เราคิดว่า “ไม่ว่าเวลาจะผ่านและวนไปนานแค่ไหน การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด”
รางวัลที่ 23: BEST SHORT FILM (ANIMATED)
ภาพยนตร์ที่ได้รับ: If Anything Happens I Love You (คลิกเพื่อรับชม)
และสรุป รางวัล Oscar 2021 กับผลรางวัลสุดท้ายของปีนี้ก็มาถึง กับสาขารางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องสั้นยอดเยี่ยม จะเป็นเรื่องใดไปไม่ได้ เสียนอกจาก “If Anything Happens I Love You” จาก NETFLIX อนิเมชั่นเรื่องสั้นที่ถ่ายทอดและสะท้อนให้เห็นความสูญเสียคนที่รักจากโศกนาฏกรรมเหตุการณ์กราดยิงที่สหรัฐ บอกเลยว่าในเวลา 12 นาทีที่ได้ดูนั้น เราร้องไห้ตั้งแต่ 5 นาทีแรก ทุกซีนที่ถ่ายทอด อัดแน่นไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจริงๆ
Photo Credit:
- indianexpress
- latimes
- charactersonthecouch
- thestandard
- pantip
- vox
- salika
- hollywoodreporter
- usatoday
- nbcnews
- nytimes
- gamesradar
- variety
Stay connected