สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เมื่อวันที่ 1 เมษายน เรียกได้ว่า Netflix ได้ประกาศ หนังเข้าใหม่เดือนเมษากันยกใหญ่ แน่นอนหนังที่เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังเป็นหนังที่ติดอยู่ในใจทำให้หนังเรื่องนี้กลับมาเป็นกระแสติด Top 10 อีกครั้งใน NETFLIX เพียงไม่กี่วัน Clubsister ขอถือโอกาสรีวิวเรื่องนี้ซักหน่อยกับ “The Shawshank Redemption สุดยอดหนังแห่งความหวัง หนังดีอันดับ 1 ตลอดกลาล” มาดูกันว่าทำไมนะ หนังเรื่องนี้ถึงครองแชมป์หนังดีในใจคนดูทั่วโลก
“The Shawshank Redemption สุดยอดหนังดีอันดับ 1 ตลอดกลาล”
เรื่องย่อและที่มา:
The Shawshank Redemption เป็นภาพยนตร์แนวดราม่า ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปลายปากกาของนักเขียนแนวสยองขวัญและลึกลับชื่อดังอย่าง Stephen Kings โดยเรื่องนี้ไม่ได้ถูกเขียนเป็นนิยายเล่มใหญ่หรือเรื่องยาว แต่เป็นเพียง 1 ใน Novella ของ Stephen King ที่ใช้ชื่อว่า “Rita Hayworth and Shawshank Redemption” เมื่อปี 1982 และนำมาพัฒนาบทพร้อมกำกับผลงานที่ดีก้องโลกโดย Frank Darabont
เรื่องราวพูดถึงปี 1947 นายธนาคารหนุ่มที่ชีวิตกำลังรุ่งไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือชีวิตส่วนตัว “แอนดี้ ดูเฟรน” ถูกพิพากษาและตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ด้วยข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชู้รักของตนด้วยอาวุธปืน โดยแอนดี้ถูกตัดสินให้เข้ามาอยู่ในเรือนจำ Shawshank ที่เรียกได้ว่าเป็นเรือนจำที่โหดและมีความคุมเข้มที่สุด ในช่วงแรกที่เข้ามาแอนดี้ไม่ปริปากบ่น หรือพูดคุยกับใครซักคนในเรือนจำ เขาเป็นคนเงียบๆ และใช้ชีวิตเรียบง่ายในคุกเปรียบเสมือนบ้านของเขา
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป 1 เดือน ในวันหนึ่งแอนดี้เดินตรงเข้าไปหา “เรด” เพื่อนผู้ร่วมเรือนจำคนหนึ่งที่เปรียบเสมือน “คนหาของ” ในคุก พร้อมกับเอ่ยประโยคคำพูดแรกกับเรด เพื่อให้เรดหาของให้กับเขา และนี่ก็เป็นเรื่องราวของมิตรภาพ ความหวัง และความรุนแรง ภายใต้โลกอีกแห่งหนึ่งของแอนดี้กับ “เรือนจำ Shawshank”
ตัวละครสำคัญในเรื่อง:
ตัวละครที่ 1: Red แสดงนำโดย Morgan Freeman
“เรด” ตัวละครหลักในเรื่องที่เป็นเหมือนคนดำเนินเรื่อง โดยชื่อจริงของเขาคือ “Ellis Boyd” ที่แสดงนำโดย Margan Freeman นักแสดงนำชายที่เรียกได้ว่าติดหิ้งของวงการฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้ ในการประกาศรางวัลออสการ์ปี 1994 นั้น Morgan ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้อีกด้วย
“เรด” เข้ามาอยู่ในเรือนจำ Shawshank ได้ประมาณ 30 ปี ด้วยข้อหาลักทรัพย์และฆาตกรรมเช่นกัน โดยเขาได้รับฉายาที่ได้จากคุกคือ “คนหาของ” ที่เรียกได้ว่าหาได้เกือบจะทุกอย่าง (เท่าที่จะหาได้) เข้ามาให้คนในคุก โดยมีข้อแม้ว่าหากโดยจับได้ ต้องไม่สัดทอดมาที่เขา เรด และ แอนดี้เป็นเพื่อนที่สนิทและไว้ใจกัน โดยเริ่มจากแอนดี้ให้เรดหาของให้เขา และพัฒนาต่อเป็นมิตรภาพและความผูกพันที่มี
ตัวละครที่ 2: Andy Dufresne แสดงนำโดย Tim Robbins
เรื่องราวที่น่าประทับใจและให้แรงบันดาลใจที่ดีจะไม่ดำเนินต่อไปได้เลยหากขาดตัวละครสำคัญของเรื่องคนนี้อย่าง “แอนดี้ ดูเฟรน” นายธนาคารหนุ่มจาก Portland ที่ถูกพิพากษาและตัดสินโทษให้จำคุกตลอดชีวิตแบบที่ไม่ได้ปล่อยตัว จากข้อหาฆาตกรรมภรรยาสาวและชู้รักของเธอที่เป็นโปรกอล์ฟ ณ บ้านพัก ริมทะเลสาป
ดูเฟรนเป็นนักโทษแทบจะเป็นคนเดียวที่ไม่เข้ากับ Shawshank มากที่สุด เขาไม่เคยแสดงสีหน้า หรือ ท่าทางว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาพแวดล้อม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใช่ว่าเขาจะใช้ชีวิตไม่ได้เสียทีเดียว แอนดี้เป็นคนสุขุม มีจิตใจดี และเป็นคนที่เรียกได้ว่า แววตามีประการและความหวังอยู่เสมอ
ตัวละครที่ 3: Brooks Hatlen แสดงนำโดย James Whitmore
หนังเรื่องนี้จะถ่ายทอดแก่นของเรื่องและเปรียบเทียบให้เห็นความเป็นเสรีภาพและความหวังได้ไม่ดี และไม่เห็นชัดเจนเลย หากขาดตัวละครตัวนี้ไปเช่นกัน นั่นก็คือ “Brooks หรือ บรู๊ค” นักโทษชายที่รับหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ของ เรือนจำ Shawshank เขาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตมาเป็นระยะเวลาถึง 50 กว่าปี ในวันหนึ่งเขาได้รับทัณฑ์บนลดโทษให้ออกจากคุกได้ในวันที่เขาอายุ 70 กว่าปี แต่ทว่าการได้รับอิสรภาพของเขานั้น เหมือนมันจะสายเกินไปกับระยะเวลาที่เขามีอยู่
ตัวละครที่ 4: Warden Norton แสดงนำโดย Bob Gunton
ผู้บังคับบัญชาการที่สูงสุดของ เรือนจำ Shawshank นั่นก็คือ “พัสดีนอร์ตัน” เป็นคนที่เคร่งและเชื่อมั่นถือมั่นในพระคัมภีร์ ดำเนินชีวิตตามรอยคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนภาพเบื้องหน้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ตัวละครที่ 5: Captain Hadley แสดงนำโดย Clancy Brown
หัวหน้าผู้คุมฮาร์ดเลย์ หรือในสมยานามหมาล่าเนื้อในเรือนจำ Shawshank เป็นมนุษย์ที่เรียกได้ว่าโหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดใน Shawshank ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นใช้คำพูดที่ไร้ความเป็นมนุษย์ ใช้กำลัง ทุบตี ซ้อมนักโทษ จนบางครั้งเจ็บปวดถึงตายก็มี ไม่เพียงแค่นั้น ฮาร์ดเลย์ยังทำตามคำสั่งของนอร์ตันได้ทุกอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งการฆ่าผู้บริสุทธิ์เพื่อปกปิดความผิดของตนก็สามารถทำได้เช่นกัน
คำเตือน: เนื้อหาต่อไปนี้มีการเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากภาพยนตร์ หากใครยังไม่ได้ดูโปรดหลีกเลี่ยง!
บทวิเคราะห์และรีวิว:
หากถามว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงเข้าไปอยู่ในใจคนดูได้ทั่วทุกมุมโลก ไม่เพียงแค่นั้นคะแนนการติดอันดับหนังดีตลอดกาลของ IMDb เรื่องนี้ก็ติดอันดับ 1 อีกด้วย (คะแนนรวม 9.2 / 10) ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้อันดับหนึ่งตลอดกาลขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้ ไม่ได้มีดีแค่บท, เนื้อเรื่อง, การเล่าเรื่องหรือดำเนินเรื่อง, นักแสดง, มุมกล้อง หรืออะไรใดๆ แต่สิ่งที่มัน Touching จิตใจคนดูได้นั้น คงหนีไม่พ้นสิ่งที่หนังกำลังบอกและพยายามสื่อกับคนดูอย่างเราๆ ให้เห็นถึงคำง่ายๆ สั้นๆ แต่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือ “ความหวัง” สิ่งที่เรื่องนี้กำลังบอกและถ่ายทอดออกมาตลอดทั้งเรื่องคือ “ความหวัง” และ “เสรีภาพ” ที่เป็นของคู่กัน
หากใครที่ได้อ่าน Novella ด้วยนั้น จะยิ่งเห็นภาพและความชัดเจนของหนังเรื่องนี้เข้าไปอีก The Shawshank Redemption เป็นหนังที่พยายามสื่อภาพ, มุมกล้อง, แสง และ สัญลักษณ์อันเป็นนัยยะ ที่แสดงให้เห็นถึงความหวังและเสรีภาพอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเสียง Voice Over ของ Red ที่บรรยายถึงความแอนดี้ ที่ดูแตกต่าง และดูเป็นคนที่มีความหวังและอิสรภาพมากที่สุด ถึงแม้เขาจะอยู่ในเรือนจำที่โอบล้อมด้วยกำแพงคุกที่สูงใหญ่นี้ก็ตาม
หรือแม้กระทั่งการเปรียบให้เห็นถึงความน่ากลัวของการไม่มีความหวัง ของคนในคุกที่อยู่มานานอย่างบรูค นักโทษชายวัย 70 กว่า ที่มี Shawshank เปรียบเสมือนบ้านและชีวิตของเขา ที่เมื่อเข้ามาพร้อมด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิต ทำให้เขาถูกริบเอาความหวังและเสรีภาพที่จะโบยบินออกไปใช้ชีวิตอิสระของนอกกำแพง ความดำดิ่งและชีวิตในกำแพงเริ่มกัดกินตัวเขาทีละเล็กละน้อย จนทำให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเรือนจำ เรียกได้ว่าทั้งชีวิตของบรู๊ค ก็คือ Shawshank
แต่แล้วในวันที่เขาต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั้น ทำให้เราเห็นว่าตัวเขาเองไม่ต่างอะไรจากนกในกรง ที่ถูกเลี้ยงดูด้วยการป้อนข้าวป้อนน้ำตั้งแต่แบเบาะ จนทำให้ลืมไปว่าชีวิตที่เป็นเสรีและทำตามใจตนเองนั้นเป็นเช่นไร สุดท้ายการปล่อยนกตัวนั้นออกไปให้บินเอง ก็คงไม่ต่างอะไรจากการให้มันไปตายภายใต้ความหวาดกลัวที่มี บรู๊คก็เช่นเดียวกัน เขาเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่ไม่มีหวังและถูกริดรอนเสรีภาพไปจนหมดสิ้น
แต่ตรงกันข้าม แอนดี้ เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่เคยหมดหวังกับการใช้ชีวิตในกำแพง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนเองจะได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกหรือไม่ เขาก็ยังสร้างความหวังและความฝันให้กับผู้อื่นใน Shawshank เสมอ โดยเหตุการณ์นี้ได้เริ่มจากการที่เขาเป็นที่ปรึกษาทางด้านภาษีกับฮาร์ดเลย์ ไปจนถึงการบูรณะห้องสมุดและสร้างการศึกษาให้กับคนในคุก
จนกระทั่งมอบอิสรภาพให้กับตนเองตามความเชื่อและความคิดของเขา ไม่เพียงแค่สิ่งที่หนังต้องการจะบอกกับเราในเรื่องนี้ สิ่งที่หนังบอกกับเราในอีกรูปแบบหนึ่งคงหนีไม่พ้น มุมกล้องของเรื่อง เราจะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งที่หนังใช้มุม Bird Eye View หรือมุมสูงตลอดเวลาแทบจะทั้งเรื่อง นั่นเป็นอีกนัยยะหนึ่งที่หนึ่งกำลังจะสื่อถึงความเป็นอิสระ และความหวังของชีวิต และอื่นๆ อีกมากมายในเรื่องที่จะทำให้เราเข้าใจว่า “ถึงชีวิตมันจะแย่ขนาดนั้น อย่างน้อยความหวังก็คงเป็นเหมือนแสงไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางให้ชีวิตเราไม่มืดกว่าที่เป็นอยู่”
เอาเป็นว่าหากใครอยากดูหนังเรื่อง The Shawshank Redeption สามารถดูได้แล้วที่ NETFLIX เลยค่า มีพากษ์ไทย และ Soundtrack และพบกันใหม่กับบทความหน้า ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ บ๊ายบายค่า
Photo Credit:
Stay connected