สวัสดีค่ะสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เรามั่นใจว่าบทความนี้จะต้องเอาใจสาวๆ คอ K-Series หรือ ผู้ที่ชื่นชอบเกาหลี อปป้า แน่นอน และด้วยความที่เราอยากเกาะกระแสความป๊อปปูล่าของซีรีส์ที่อยู่ๆ ก็มาแรงแซงทางโค้งพุ่งมา Top 5 ของ Netflix กับเรื่องนี้ “รีวิว Move to Heaven ” ซีรีส์เกาหลีที่จะทำให้คุณรับรู้ถึงข้อความสุดท้ายของคนที่จากไป บอกเลยว่าสิ่งที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้มีมากกว่าความสนุกแน่นอน อย่ารอช้าไปเริ่มกันเลยค่า
“รีวิว Move to Heaven ” ซีรีส์เกาหลีสุดซึ้ง! ผ่านข้อความสุดท้ายของคนที่จากไป
เรื่องย่อและที่มา:
Move to Heaven ซีรีส์น้ำดีจากเกาหลีและ Original Netflix โดยเป็นผลงานกำกับของ Kim Seon-ho เป็นซีรีส์เกาหลีแนว Drama, Inspiration ที่เรียกได้ว่าเติมเต็มความอบอุ่นของจิตใจได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนที่จะเข้าบทความแบบเจาะลึกเรามาที่เรื่องย่อของเรื่องกันก่อน ซีรีส์เรื่องนี้พูดถึงเรื่องราวของ ฮันกือรู และ ฮันจองอู คู่พ่อลูกที่ธุรกิจครอบครัวคือเปิดบริษัท Trauma Cleaner หรือ บริษัทเก็บกวาดทำความสะอาดสถานที่เกิดเหตุ ที่ใช้ชื่อว่า Move to Heaven
ฮันจองอูเป็นคุณพ่อที่อบอุ่น อ่อนโยน และจิตใจดี เขาเป็นคุณพ่อและผู้ทำธุรกิจที่ใส่ใจทุกรายละเอียด โดยคิดเสมอว่า “ทุกสถานที่ ทุกข่าวของของคนตาย มักมีข้อความส่งท้ายและเรื่องราวซ่อนอยู่เสมอ” ในส่วนของลูกชายเพียงคนเดียวฮันกือรูนั้น เขาเป็นเด็กหนุ่มวัย 20 ปี ที่เป็นโรค Asperger Syndrome หรือ แอสเพอร์เกอร์ ซึ่งทำให้เขาใช้ชีวิตโดยทั่วไปได้ค่อนข้างยาก แต่ใช่ว่าจะดูแลตัวเองไม่ได้ เขาสามารถดูแลตนเองได้ดี อ่านเขียนได้ดี แต่ปัญหาที่พบเจอคือ เขาไม่สามารถรับรู้ เข้าใจ และ ไม่เข้าใจปฏิกิริยาความรู้สึก การตอบสนองที่มีต่อมนุษยสัมพันธ์ ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันหรือสิ่งแปลกใหม่ได้ค่อนข้างยาก จนบางครั้งทำให้ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้
แต่ในข้อเสีย ก็มีข้อดีอยู่ เขาเป็นคนที่มีความฉลาด ช่างสังเกต จดจำข้อมูลทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม ตอบสนองข้อมูลไม่ต่างจากระบบปฏิบัติการ AI นั่นทำให้ของหรือข้อมูลใดๆ ก็ตามที่กือรูพบเห็น เขาสามารถจำมันได้โดยไม่กี่วินาที
ในขณะที่สองพ่อลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อยู่มาวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ฉันจองอู ล้มลงกับพื้นขณะที่กำลังข้ามถนน และเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวที่ปิดบังลูกชายตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ทำให้ทนายความโ ทนายส่วนตัวของคุณพ่อ จึงเปิดพินัยกรรม พร้อมเชิญ โจซังกู น้องชายสมาชิกคนสุดท้ายที่เปรียบเสมือนครอบครัวของเขาเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ให้มาดูแล ฮันกือรู ผู้เปรียบเสมือนหลานชายของเขา ในฐานผู้อนุบาลและผู้ปกครองเพียงคนเดียว
แต่ทว่ามีเงื่อนไขอยู่ 1. จะต้องอาศัยและอยู่ในบ้านเดียวกับกือรูเป็นเวลา 3 เดือนโดยไม่มีข้อโต้แย้งกัน 2. ต้องทำงานที่ Move to Heaven หลังจาก 3 เดือนจะให้กือรูและคุณทนายเป็นผู้ตัดสินอีกทีว่าจะได้รับอนุบาลและเป็นผู้ปกครองหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฮันกือรู และ โจซังกูได้มาเจอกัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิด ความอบอุ่น และสร้างความผูกพันไปด้วยกัน ผ่าน Move to Heaven
ตัวละครที่สำคัญ:
ตัวละครที่ 1: ฮัน กือรู แสดงนำโดย Tang Joon-Sang
ลูกชายเพียงคนเดียวของฮันจองอู เป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุ 20 ปี ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชอย่าง Asperger Syndrome เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการบกพร่องของพัฒนาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คนมักชอบเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยด้วยภาะวนี้คือออทิสติก แต่ทว่าคนที่ป่วยเป็น Asperger Syndrome นั้นจะมีความบกพร่องทางการเข้าสังคม มีพฤติกรรมที่หมกหมุ่น ชอบทำอะไรซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ ไม่ยืดหยุ่น และไม่ชอบการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
นอกจากคนใกล้ตัวเพียงอย่างเดียว แต่ข้อดีของการเป็นป่วยเป็นภาวะนี้คือเขาจะมีความสนใจกับสิ่งที่ตนเองชอบเอามากๆ จดจำข้อมูล ช่างสังเกตรายละเอียด ตรงไปตรงมา มีความจำที่ดีเลิศ เรียกได้ว่าเหมือนระบบปฏิบัติการ AI ดีๆ เลยก็ว่าได้ แต่ถึงแม้ฮันกือรูจะเป็นเด็กที่มีความบกพร่องในการใช้ชีวิต แต่เขาก็เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนมากเลยทีเดียว
ตัวละครที่ 2: โจซังกู แสดงนำโดย Lee Jehoon
อดีตนักมวยตกอับผู้มีบาดแผลในจิตใจ ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากคุก และพ้นโทษได้หมาดๆ อยู่ๆ เขาก็ได้รับพินับกรรมจากพี่ชายต่างพ่อ อย่าง ฮันจองอู ให้เขาไปดูแลและเป็นผู้ปกครองให้กับฮันกือรู โดยมีข้อแม้ว่าก่อนจะได้รับการตัดสินอย่างถูกกฏหมาย ต้องมีการทดลอง 3 เดือน
ตัวละครที่ 3: ยูนนามู แสดงนำโดย Hong Seung-hee
เด็กสาวที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกือรู เป็นเพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของกือรู ทั้งคู่เติบโต และเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยูนนามู รักและใส่ใจกือรู เป็นอย่างดี เรียกได้ว่ามีกือรู ต้องมียูนนามูเลยก็ว่าได้
รีวิวแบบเจาะลึก:
ขอสารภาพและกล้าพูดเลยว่า โดยส่วนตัวเราไม่ใช่แฟนคลับ K-Series หรือ คอเกาหลีมากเสียเท่าไร จะดูแค่เฉพาะบางเรื่องที่ค่อนข้างสนใจเท่านั้น แต่สำหรับเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องแรกในรอบปีนี้ ที่ไม่สามารถหยุดดูได้ใน 1 EP. มีความรู้สึกอยากดูต่อเรื่อยๆ เผลอแปปเดียว เคลียร์จบใน 1 วัน และที่สำคัญร้องไห้อย่างต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้เราเกิดความสนใจในตัวซีรีส์เรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นกลิ่นอายที่ผสมผสาน ความสืบสวนสอบส่วนเล็กๆ ในทุกๆ ตอนแฝงไปด้วยข้อคิด และรักครอบครัว สะท้อนปัญหาสังคม ความเท่าเทียม และรวมถึง ความอบอุ่นในจิตใจที่มีในทุกๆ ตอน เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ให้ความอบอุ่น พร้อมเติมเต็มความนุ่มฟูในจิตใจได้ดีมากๆ สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นหลักๆ เลยคงหนีไม่พ้น “ข้อความหรือเรื่องราวของคนที่จากไป เขาอยากส่งสารหรือบอกอะไรกับคนที่ยังอยู่” แน่นอนหล่ะ คนตาย ก็เคยเป็นคนเหมือนกับเรามาก่อน ในการใช้ชีวิตประจำวันก็คงไม่ต่างจากเราๆ
แต่ในอีกมุมหนึ่งมันทำให้เราเห็นว่า ชีวิตของแต่ละคนผ่านเรื่องราว ต่างๆ มากมายที่ไม่เคยเหมือนกัน บางคนเลือกที่จะพูด บางคนเลือกที่จะเก็บ แต่ท้ายที่สุดแล้วในวันที่เขาจากไป เขาคงอยากจะบอกอะไรซักอย่าง หรืออยากจะแชร์เรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันของเขาผ่านสิ่งของที่เขาหลงเหลือและทิ้งเอาไว้ เราอาจจะสังเกตและรับรู้ชีวิตของพวกเขาได้ผ่านจากไดอารี่ที่เจอ, รู้ว่าเขาต้องใช้ชิวิตอย่างไรผ่านจากสถานที่ที่เขาอยู่ หรือรู้แม้กระทั่งว่าเขามีเรื่องราวหรือความทุกข์ใจอะไรผ่านจากสิ่งของที่เขาเก็บไว้เป็นของสำคัญ
นอกจากเรื่องความทรงจำและข้อความที่คนไปฝากไว้กับคนเป็นนั้น สิ่งที่เราสัมผัสได้อีกอย่างคือ “การให้คุณค่ากับสิ่งของที่เหลืออยู่” บ่อยครั้งของที่เราคิดว่าไม่สำคัญต่อจิตใจเรา มันอาจจะเคยสำคัญกับใครคนหนึ่งมากๆ เลยก็เป็นได้ ดังนั้นอย่าตัดสินหรือทิ้งคว้าง ของสำคัญของคนอื่น เพียงแค่สำหรับเรามันไม่สำคัญ
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นประเด็นและน่าสนใจนั่นก็คือ จริยธรรมในเรื่อง มนุษย์ หากใครได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ จะรู้ได้เลยว่ามีการพูดถึงเรื่องการรับเลี้ยงหรืออุปการะเด็กอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เราได้รู้เลยว่าอีกหนึ่งปัญหาของประเทศเกาหลีใต้ คือการค้ามนุษย์อย่างการส่งเด็กไปอุปการะที่ต่างประเทศ ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีมาตั้งแต่หลังเกาหลีผ่านพ้นวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สอง
นั่นทำให้พบว่าคนเกาหลีให้กำเนิดเด็กทารกในช่วงสภาวะที่ไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดองค์กรการรับเลี้ยงดูเด็กทารกเพื่อส่งไปเป็นเด็กที่อุปการะ ณ ต่างประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกาเสียส่วนใหญ่ แต่ทว่าปัญหาที่เจอนั้นคือ กฏหมายยังไม่ได้คุ้มครองและรับรองว่าเด็กทารกที่อยู่ใน ณ ที่นี่คือพลเมืองเกาหลี หรือหากไปอยู่ที่โน้น หากพ่อแม่ที่รับเลี้ยงเขาไม่ได้แจ้งการรับรองพลเมืองที่โน้นด้วย ก็จะทำให้เกิดปัญหาที่ว่า เด็กที่ไปอาศัยอยู่ที่โน้นเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีสัญชาติและบ้านเกิดให้กลับไปได้
ทำให้เมื่อปี 2006 ทางเกาหลีได้มีการเขียนกฏหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิเด็กที่เกิดในประเทศเกาหลีว่า ให้ทำความลงทะเบียนประชากรให้เด็กคนเหล่านี้ ก่อนที่จะส่งตัวไปอุปการะ และต้องผ่านการรับรองทางกฏหมายแล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันการผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
สุดท้ายสิ่งที่เราได้จากซีรีส์เรื่องนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า “ความตายเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว และไม่มีใครคาดถึง” ดังนั้น “เราจงใช้ชีวิตในทุกๆ วันให้มีค่าและมีความหมายกับมันมากที่สุด เพื่อในวันที่เราจากไป จะได้ไม่ติดค้างเรื่องอะไรกับคนที่อยู่” เอาเป็นว่าหากสาวๆ คนไหนสนใจและอยากดูซีรีส์ที่ทำหัวใจเราให้อบอุ่นได้นั้นก็ขอเชิญ Move to Heaven (คลิกเพื่อรับชม)
และขอบคุณอีกครั้งที่อ่านบทความรีวิว Move to Heaven ของเราในวันนี้ และพบกันใหม่กับบทความหน้า บ๊ายบายค่า
Photo Credits:
Sources:
Stay connected