สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Netflix เพิ่ง Updated ซีรีส์เข้าใหม่ไป และแน่นอนมีเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าสร้างเสียงฮือฮากันเลยทีเดียว วันนี้ Clubsister จะมารีวิวซีรีส์เรื่องนี้กันกับ “รีวิว Clickbait ซีรีส์ที่สะท้อนความสีเทา ของการอยากรู้อยากเห็นในโลกออนไลน์” มาดูกันว่า เพราะอะไรทำไมซีรีส์เรื่องนี้ถึงได้ดึงดูดคนดูนัก
รีวิว Clickbait ซีรีส์ที่สะท้อนความสีเทา
ของการอยากรู้อยากเห็น ในโลกออนไลน์
เรื่องย่อและที่มา:
Clickbait เป็นซีรีส์สืบสวนสอบสวนเรื่องใหม่บน NETFLIX สัญชาติ Australia – American เรื่องราวพูดถึงครอบครัว Brewer ในคืน Dinner ฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณแม่และคุณย่าของพวกเขา แต่ทว่า Pai และ Nick สองพี่น้องได้ทะเลาะและเกิดปากเสียงกันอย่างรุนแรง ทำให้ Nick พลั่งปาก ไล่น้องสาวของเขาออกจากบ้าน
คืนวันที่เหมือนจะมีความสุขจบลงด้วยการที่ Pai ไป Hangout ที่คลับเพียงลำพัง และกลับไปทำงานใช้ชีวิตในตอนเช้าตามปกติ ซึ่งเธอมีหน้าที่เป็นพยาบาล ณ วอร์ดผู้ป่วยรักษาคีโม ในขณะที่กำลังปฏิบัติภารกิจอยู่นั้น Pia ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับคนไข้คนสนิทของเธอ โดยการเปิดคลิป Viral ดูกันตามปกติ
แต่ทว่ามีอยู่คลิปหนึ่งที่พูดถึงชายคนหนึ่งถือป้ายที่ว่า “ผมทำร้ายผู้หญิง และถ้าวิดีโอนี้ยอดคนดูถึง 5 ล้านผมจะตาย” ด้วยคลิปดังกล่าวสร้างความฮือฮาและเป็นที่น่าประหลาดใจกับผู้ชมต่างๆ โดยเฉพาะ Pia เพราะผู้ชายที่อยู่ในคลิปนั้นคือ Nick พี่ชายเพียงคนเดียวของเธอ ด้วยเหตุนี้ทำให้ Pia และครอบครัวจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ พร้อมสืบว่าพี่ชายของเธออยู่ที่ไหน, ใครเป็นคนที่ทำเรื่องแบบนี้ และที่สำคัญพี่ชายที่เธอเคารพได้กระทำอย่างที่บอกในคลิปหรือไม่?
ก่อนที่จะเริ่มรีวิว Clickbait ซีรีส์ที่เรียกได้ว่ามาแรงในขณะนี้ ( ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2021) เราขอเกริ่นนำตัวละครกันก่อน
ตัวละครสำคัญในเรื่อง:
Nick: พี่ชายของ Pia และ สามีของ Sophie เขาเป็นผู้ชายที่เรียกได้ว่าเป็นที่รักของคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน ในวันหนึ่ง Nick หายตัวไปและพบว่ากำลังถูกจับพร้อมกับป้ายที่ว่า “ผมทำร้ายผู้หญิง และถ้าวิดีโอนี้ยอดคนดูถึง 5 ล้านผมจะตาย”
Pia: น้องสาวเพียงคนเดียวของ Nick เธอเป็นคนหัวดื้อ มีจุดยืนของตนเอง แต่รักครอบครัวที่สุด ในขณะที่เธอกำลังทำงานและพูดคุยเรื่อง Viral VDO กับคนไข้ของเธอนั้น ทำให้เธอพบคลิป VDO ที่มีพี่ชายของตนเองจับตัวไปในนั้น
Sophie: ภรรยาสาวของ Nick เธอเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่ดี ในขณะที่เธอรู้ข่าวเรื่อง Nick เธอจึงเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามามีบทบาทกับเรื่องนี้
Roshan: ตำรวจสายสืบที่รับหน้าที่ดูแลคดีนี้ แต่ด้วยจังหวะและความบังเอิญเขาเป็นเพื่อนคุยใน Online Dating App กับ Pia น้องสาวของ Nick
รีวิว Clickbait:
ในแง่ภาพรวมของเรื่องนั้นก็ต้องบอกเลยว่า Clickbait ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง ที่ตีแผ่เรื่องราวและสะท้อนให้เห็นจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ จากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งวงนอกและวงในของการหายตัวไปของ Nick ได้อย่างเฉียบขาด โดยการเล่าเรื่องและดำเนินเรื่องแบบนี้ ยิ่งเหมือนกระตุ้นและสร้างความอยากรู้อยากเห็นของคนดูได้ไม่ใช่น้อย
แต่! สิ่งที่น่าประทับใจของเรื่องเลยนั่นก็คือ การดำเนินเรื่องเหมือนจะคาดเดาได้และเนื้อเรื่องก็เหมือนจงใจทำออกมาให้เป็นแบบนั้นเสียด้วย แต่ทว่า! มันไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนสับขาหลอกคนดูมาทีละเล็กละน้อยตลอดทั้งเรื่อง และบทสรุปของเรื่อง Wrap up ทุกอย่างที่ต้องการสื่อไม่ว่าจะเป็นข้อคิดและการสะท้อนความสีเทาของโลกออนไลน์ได้อย่างเฉียบและคมเลยทีเดียว (แต่ขอหักออกเล็กน้อยเพราะในช่วงแรกมีความเนือยของเรื่องอยู่บ้าง)
ต่อมาคือสิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือชื่อเรื่อง กับศัพท์ทาง Social Media ที่เรารู้จักกันดีอย่างคำว่า Clickbait ซึ่งคำนี้ให้ความหมายง่ายๆ ว่า การสร้างเนื้อหา Content ที่ล่อลวงหรือเชิญชวนให้คนเข้ามา เพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง โดยซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอและสะท้อนให้เห็นพื้นฐานของมนุษย์อย่างความอยากรู้อยากเห็นผ่านคำนี้ได้เป็นดีเลยทีเดียว
โดยเราขอแตกสิ่งที่เราสังเกตเห็นจากหนังออกเป็น 3 ส่วน อย่างแรกเลยคือ “ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์” อย่างที่เรารู้กันมนุษย์เป็นสัตว์ที่เรียกได้ว่าแทบจะฉลาดและมีวิวัฒนการณ์ที่เลิศที่สุดของสิ่งมีชีวิต นั่นก็เพราะว่า มนุษย์เป็นสัตว์ใคร่หาความรู้และชอบหาความจริง พร้อมพัฒนาสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ ถ้าจะมองในแง่ดีจะว่าดีก็ได้
แต่หากสิ่งเหล่านี้มันมีมากจนเกินไป แน่นอนก็อาจจะส่งผลกระทบที่ตามมาได้เป็นธรรมดา อย่างในซีรีส์เรื่องนี้ คง Concept ของเรื่องนี้แทบตลอดทั้งเรื่อง เรียกได้ว่า “ไม่มีหลุด Theme เลยทีเดียว” เราจะได้เห็นข้อดีของความอยากรู้อยากเห็น สอดส้องหาความจริง และข้อเสียตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่
ถ้าให้ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน บางครั้งที่บ้านเมืองเราเจอข่าวหรือเหตุการณ์อะไรซักอย่างที่ทางการกำลังตรวจสอบแง่ความเป็นจริง ก็จะมีนักสืบโลกออนไลน์หลากหลายคน ที่พร้อมจะช่วยหรือเพิ่มเบาะแสในการหาความจริงเหล่านั้น แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่ “ต้องการหาความจริง เพื่อสร้างตัวตนหรือผลประโยชน์บางอย่างให้กับตนเอง” ซึ่งในส่วนนี้จะส่งต่อข้อคิดที่สองของเรื่อง
โดยข้อคิดที่สองของเรื่องคือ “ความอยากมีตัวตนหรือเป็นคนสำคัญ” แน่นอนมนุษย์เราทุกคนต้องการความรักและอยากเป็นที่รัก และยิ่งในยุคที่ทุกอย่างแทบจะขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ตทำให้การสร้างตัวตนเพื่อกลายเป็นคนสำคัญที่น่าสนใจนั้นกลายเป็นเรื่องที่ง่าย
แต่ทว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวตนเหล่านั้นคือตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา ยิ่งเป็นในโลกออนไลน์แล้ว ใครจะปรุงแต่งหรือนำเสนอข้อมูลอะไรให้กับเราก็ได้
มนุษย์มักหลงและลืมไปว่าเหรียญมักมีสองด้านเสมอ บางครั้งตัวตนที่อยู่ในโลกออนไลน์กับตัวจริงอาจจะไม่เหมือนกัน 100% ก็ได้ ทุกคนมีพื้นที่ที่จะสามารถนำเสนอสิ่งเหล่านั้นได้ ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อใครบางคนได้เป็นที่รักหรือมี Spotlight ฉายไปที่ตัวตนของพวกเขา ก็คงไม่แปลกที่จะมีใครบางคนจ้องมองและอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง
ทำให้บางครั้งเราพบเจอการโดนขโมยตัวตนหรือที่เรียกกันว่า Identity Theft ในโลกออนไลน์อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปลอม Account การขโมยรูปและแอบอ้างต่างๆ มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราพบเห็นได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นความอยากรู้อยากเห็นหรือการอยากมีตัวตนใดๆ ของคนบางคน ในบางครั้งมักก่อให้เกิดผลกระทบกับคนรอบข้าง ซึ่งคนที่โดนผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเหล่านี้มักกลายเป็น “เหยื่อ” โดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งในบางสถานการณ์การอยากรู้อยากเห็นของเรา เราอาจจะคิดว่ามันเป็นความท้าทาย ความสนุก
แต่อาจจะลืมไปหรือเปล่าว่าอาจจะไปลุกล้ำหรือละเมิดสิทธิส่วนตัวของใครบางได้ หรือแม้กระทั่งการที่เราต้องการอยากมีตัวตน อยากเป็นคนำคัญหรืออยากสร้าง Spotlight ให้กับตัวเองจนบางครั้งเราเผลอไปตัดสินใครบางคน, เบียดเบียนหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใครโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว
ซึ่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจจะไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ก็อาจจะกลายเป็นน้ำผึ้งเพียงหยดเดียวที่หล่นลงพื้น และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จะกลายเป็นความเดือดร้อนทีส่งผลกระทบตามมามากมายได้ด้วยเช่นกัน
Photo Credits:
Stay connected