สวัสดีค่าสาวชาวซิสที่น่ารักทุกคน ขึ้นเดือนกุมภาพันธ์กันแล้ว จะนึกถึงวันอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก “วันแห่งความรัก” หรือ “Valentine” ที่เรารู้จักกันดี และด้วยความที่เป็นเดือนแห่งความรักนี้ ทำให้เราอยากจะจัดตั้งมหากาพย์การแนะนำพร้อมรีวิวหนังที่เกี่ยวกับความรักหลากหลายรูปแบบมาฝากสาวๆ กัน โดยขอเริ่มจาก 5 เรื่องนี้ก่อนเลย “5 หนังรักสุดซึ้ง ที่ทำเอาคนดูอินตามไม่หยุด!” บอกก่อนเลยว่า เตรียมทิชชู่เอาไว้ให้พร้อม เพราะเราจะชวนสาวๆ มาน้ำตาแตกกับ 5 หนังที่กระชากอารมณ์ด้วยกัน อย่างรอช้าไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
“5 หนังรักสุดซึ้ง ที่ทำเอาคนดูอินตามไม่หยุด!”
*คำเตือน: บทความนี้มีการนำเสนอเนื้อหาสำคัญบางส่วน ใครที่ยังไม่ได้ดูโปรดหลีกเลี่ยง
เรื่องที่ 1: The Fault in Our Stars (2014)
สามารถหาดูได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชม)
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.7 / 10
ระดับความความน้ำตาแตก: 3 / 5
หนังรักสุดซึ้งเรื่องแรกที่อยากจะชวนสาวๆ มาเรียกน้ำตาระดับปานกลางนั้น บอกเลยว่าเป็นอีกเรื่องที่เราเชื่อว่าอยู่ในใจใครหลายๆ คน ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นหนังที่สร้างมาจากนิยายรักสุดดราม่าชื่อดัง และเรื่องนี้ก็คือ “The Fault in Our Stars” หรือ ที่คอหนังดราม่ารู้จักในชื่อย่อที่ว่า “TFiOS” ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘เฮเซล’ สาวน้อยธรรมดาคนหนึ่งที่น่าจะได้ใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเด็กสาวทั่วไป แต่ทว่าเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ระยะที่ 4 และเชื้อนั้นลามไปที่ปอดของเธอ ทำให้เธอต้องหิ้วถังออกซิเจนและใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอจำใจต้องเข้ารับการ Therapist ที่ศูนย์ผู้ป่วยโรคมะเร็ง จนเป็นเหตุทำให้เจอกับ ‘กัส’ เด็กหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เขาป่วยด้วยโรคมะเร็งจนทำให้ต้องเสียขาข้างนึงเพื่อรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งสองคนเจอกันด้วยความบังเอิญ บวกกับความชอบในนิยายเรื่อง An Imperial Affliction ที่เฮเซลชอบอ่าน และแบ่งปันให้กัสได้ลองอ่านด้วยเช่นกัน จนทำให้ไปสู่เหตุการณ์ที่ทั้งสองคนร่วมสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่อัมสเตอร์ดัมพร้อมตามล่าหาคำตอบตอนจบที่ค้างคาของเรื่องนี้ จนก่อเกิดเป็นความรักของคนทั้งสองคน
The Fault in Our Stars เป็นหนังรักสุดซึ้งอีกเรื่องที่บอกเลยว่า บีบหัวใจคนดูอย่างเราได้แบบสุดๆ ยิ่งช่วง 40 นาทีสุดท้าย (ร้องไห้เหมียนหมา) หนังพยายามนำเสนอความไม่สมบูรณ์แบบของตัวละครทั้งสองตัว ที่ทั้งคู่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่เพียงแค่นั้นชีวิตของหนุ่มสาวสองคนนี้เหมือนใช้ชีวิตไปพร้อมกับระเบิดเวลาที่ติดอยู่กับตนเอง มันเริ่มนับถอยหลังไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีวันรู้ได้เลยว่าวันที่มันจะระเบิดคือวันไหน
แต่สิ่งที่หนังพยายามทำให้ความโชคร้ายเหล่านี้ มันดูทุเลาลงได้นั้นคงเป็น ความรักและความพยายามที่อยากจะมีชีวิตเหมือคนปกติทั่วไปของทั้งสองคน โดยเฉพาะเรื่องความรัก และซีนที่ทำเอาเราร้องไห้ไม่หยุดเลยนั้นคงหนีไม่พ้นฉากอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายที่ กัส ฝากเอาไว้ให้กับ เฮเซล
เรื่องที่ 2: One Day (2011)
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.0 / 10
ระดับความน้ำตาแตก: 3.5 / 5
และหนังรักสุดซึ้งที่เรียกว่ากระชากน้ำตาและรู้สึกหน่วงกับการดำเนินเรื่องมาตลอดแทบทั้งเรื่อง ไม่เพียงแค่นั้นยังสร้างปรากฏการณ์ความช็อคให้กับคนดูอย่างเราอีกกับ “One day” หรือ “วันหนึ่ง วันนั้น วันของเรา” หนังเรื่องนี้สร้างมาจาก Novel Best Seller ในปี 2009 ที่ใช้ชื่อเดียวกัน เป็นหนังแนว Romantic drama ที่บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มคู่หนึ่งที่มีความสัมพันธ์เหมือนฉันเพื่อน (เพื่อนไม่จริง)
นั่นก็คือ ‘เอ็มม่า’ หญิงสาวที่มีความทะเยอทะยาน ตามล่าหาความฝันของตัวเอง และ ‘เด็กซ์เตอร์’ ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปทั้งรูปร่าง หน้าตา และเงินทอง เขาใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เหมือนลูกคุณหนูที่ใช้เงินทิ้งไปวัน ๆ ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยเหมือนใคร ๆ ทั้งคู่มักจะเจอกันในทุก ๆ วันที่ 15 ของเดือน กรกฎาคม ในทุก ๆ ปี ถึงแม้เขาทั้งคู่จะเจอกันแค่ปีละครั้ง แต่ในทุก ๆ ครั้งที่เจอกันนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร แค่ต่างฝ่ายต่างมองตากัน แค่นั้น มันก็บอกอะไรได้มากกว่า
สิ่งที่ทำให้เราชอบในตัวหนังรักสุดซึ้งเรื่องนี้เลยคือการสะท้อนให้เห็นถึง “จังหวะ” และ “เวลา” ของชีวิตและความสัมพันธ์ของคู่บางคู่มันไม่เคยตรงกัน หนังถ่ายทอดสิ่งที่สองคนเป็นและความรู้สึกคิดถึงบวกกับความโหยหาที่ทั้งสองคนมี ตลอดช่วงเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้มีคำถามผุดขึ้นมาในหัวแทนนางเอกเต็มไปหมด เรา 2 คนเป็นอะไรกัน ? ตลอดเวลาที่เราไม่เจอกันเธอคิดถึงมันบ้างไหม ? และช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอมีความสุขบ้างหรือเปล่า ? และ เราพร้อมที่จะมีกันและกันเมื่อไร ?
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาถึงแม้ว่าทั้งคู่จะผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปมีครอบครัว รักร้าว เตียงหัก และสุดท้ายก็วนกลับมาที่เดิม สุดท้ายแล้วที่คำพูดๆ ที่เราได้จากหนังเรื่องนี้คือ “หากเรารู้ว่าเรารักใครสักคน จงอย่าลืมความรู้สึกแรกที่ให้กัน จงแสดงออกอย่างชัดเจน รักษาเวลาที่มีอยู่ด้วยกันให้เหมือนว่ามันเหลืออยู่แค่ 5 นาทีสุดท้าย อย่ากลัวที่จะแสดงออกมาเลย เพราะหากเข็มนาฬิกามันวนมาถึงจุดจบ เมื่อไรโอกาสทั้งหมดที่คุณมี ความฝันทั้งหมดที่คุณฝันเอาไว้ร่วมกันมันจะมลายหายไปพร้อมกับจุดจบของเวลา”
เรื่องที่ 3: Sky of Love (2007)
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 6.9 / 10
ระดับความน้ำตาแตก: 4 / 5
หนังรักสุดซึ้งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จำความได้ว่าดูตอนมัธยมและร้องไห้ตาบวมมาโรงเรียน และสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพร์สมากไปกว่าบทหนังที่ซึ้งแล้ว นั่นก็คือหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของเด็กสาวคนหนึ่งที่เธอ นำประสบการณ์, เรื่องราว และความทรงจำของความรักของเธอ มาเขียนในเว็บไซต์ “Sky of Love” หรือ “รักเรานิรันดร” เป็นเรื่องราวของ ‘มิกะ’ เด็กสาวน่าตาน่ารักที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน อยู่มาวันหนึ่งเธอดันทำโทรศัพท์หาย และเมื่อหาเจอก็ดันมีเบอร์แปลกๆ พร้อมทั้งเสียงผู้ชายโทรเข้ามาและบอกว่าเขาเป็นคนเก็บโทรศัพท์ของเธอได้
จากนั้นเขาและเธอก็โทรคุยกันมาเรื่อย ๆ จนก่อเกิดเป็นความรัก เจ้าของเสียงละมุนนั้นมีชื่อว่า ‘ฮิโระ’ เด็กชายที่มีผมสีทอง ชีวิตรักของฮิโระและมิกะ ดำเนินไปเรื่อย ๆ ด้วยรอยยิ้ม แต่แล้ววันหนึ่งฮิโระก็ทิ้งเธอไป โดยที่เธอก็ไม่รู้สเหตุว่าจุดเริ่มต้นของรอยร้าวนี้มันมาจากไหน เวลาผ่านไปเริ่มเยียวยาความเจ็บปวดของมิกะ แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็รู้ถึงเหตุผลที่ฮิโระเลือกที่จะทิ้งเธอไป หลังจากนั้น รอยยิ้มที่ปนกับน้ำตาก็เริ่มต้นขึ้น
Sky of Love เป็นหนังรักสุดซึ้งที่เราดูไม่ต่ำกว่า 3 รอบ และดูทุกครั้งก็ปวดใจทุกครั้ง สะอึกสะอื้นตลอดเวลา ทำไมหน่ะหรอ (หลังจากนี้จะมีการสปอยด์เกิดขึ้น) เรื่องมันมีอยู่ว่า เรื่องราวของมิกะกับฮิโระเนี้ยก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ เหมือนคู่รักมัยมทั่วไปเนี๊ยแหละ มีมุมให้เขิน และ มีมุมให้ใจสั่น แต่หลังจากที่มิกะเลิกรากับฮิโระไป และพบความจริงว่า พระเอกของเราเป็นมะเร็ง
บอกได้เลยว่า หลังจากฉากนี้ไปแล้ว ความรู้สึกเราเหมือนกับคนตายที่ค่อย ๆ ถอดเครื่องช่วยหายใจออกแบบช้า ๆ ถึงแม้มิกะกับฮิโระจะกลับมารีเทิร์นกันก็เถอะ แต่ทุกฉากที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมันเหมือนการนับเวลาถอยหลังของฮิโระแบบช้า ๆ เราดูแล้วไม่ได้รู้สึกลุ้น แต่รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ดู สิ่งที่ดีงามที่สุดของเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นพล็อตเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เขาวางเรื่องและจุดเชื่อมของเรื่องได้ดี โทนสีภาพที่เป็นแบบนวล ๆ เข้ากับ Theme เรื่องได้อย่างลงตัว
เรื่องที่ 4: Marriage Story (2019)
สามารถหาดูได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชม)
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.9 / 10
ระดับความความน้ำตาแตก: 4.5 / 5
และเราก็เข้าใกล้โค้งสุดท้ายของหนังรักสุดซึ้งกันแล้ว เราขอบอกเลยว่าอันดับที่ 4 และ อันดับที่ 5 นี้ เราเลือกยากมาก แต่ถ้าวัดในมุมใจสั่นน้ำตาแตกแล้ว เราขอให้เรื่องนี้เป็นอันดับ 4 ก็แล้วกัน เรื่องนี้คือ “Marriage Story” หนังรักดราม่าจาก Original Netflix ที่ได้รับการเข้าชิงรางวัลออสการ์มากมาย แต่สุดท้ายก็ได้สมทบหญิงยอดเยี่ยมมาได้
“Marriage Story” เป็นเรื่องราวและพูดถึงเหตุการณ์และการตัดสินใจของ ‘นิโคล’ ภรรยาสาวที่อยากจะขอหย่ากับสามีของเธอ ‘ชาลี’ ในห้องรับคำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่กับนักบำบัด โดยนิโคลเป็นนักแสดงละครเวทีให้กับโรงละครที่ชาลีเป็นผู้กำกับอยู่ แต่ทว่ายิ่งอยู่กันไป ยิ่งรู้สึกถึงความสุขน้อยลง ทั้งคู่จึงตัดสินใจว่าหย่า เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และใช้ชีวิตใครชีวิตมันตามที่ฝันที่วาดเอาไว้
สิ่งที่ทำให้เราชอบในตัวหนังรักสุดซึ้งเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้นการสะท้อนความสัมพันธ์ในแง่ความเป็นจริง แบบที่สามารถหาได้ง่ายๆ กับคู่รักแทบจะทุกคู่ บ่อยครั้งที่เรามองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของความรู้สึกเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกันก็ได้ แต่สาวๆ รู้ไหมคะ? เรื่องความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ หรือการยอมรับความฝันและตัวตนของอีกฝ่าย เป็นอีกหนึ่งรากฐานของความสัมพันธ์ที่ต้องประคับประคองและทำความเข้าใจไปด้วยกันมากที่สุด สุดท้ายแล้วหากเราไม่สามารถยอมรับในส่วนนี้ซึ่งกันและกันได้ ก็คงหนีไม่พ้นที่ต่างคนต่างต้องแยกทางเดินของกันและกัน
เรื่องที่ 5: A Star is Born (2018)
สามารถหาดูได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชม)
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.6 / 10
ระดับความความน้ำตาแตก: 5 / 5
หนังรักสุดซึ้งเรื่องสุดท้ายที่เรียกได้ว่ากระชากน้ำตา พร้อมเสียงสะอื้นไปกับเพลงและบทที่ตัวละครถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดีเลยนั้น เราขอยกให้กับเรื่อง “A Star is Born” หนังรักดราม่าสะท้อนวงการและธุรกิจบันเทิงฉบับ Remake ที่ขนเอานักร้องและนักแสดงมืออาชีพมาร่วมแสดงด้วยอย่าง Lady Gaga และ Bradley Cooper โดยในเรื่องนี้นักแสดงทุกคนจะต้องฝึกร้องและฝึกเล่นดนตรีเองตลอดทั้งเรื่อง
ซึ่งเรื่องราวพูดถึง ‘แจ็ค’ นักร้องและนักกีต้าร์วงร้อคชื่อดัง ที่กำลังพักผ่อนในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งจากการทัวร์คอนเสิร์ตและเช่นเคย แจ็ค ผู้หลงรักในแอลกอฮอล์ เขาไปเที่ยวบาร์ Drag Queen จนพบกับ นางเอก Drag Queen ที่ชื่อ ‘อัลลี่’ และหลงรักในเสียงร้องของเธอ อัลลี่นั้นนอกจากเธอจะทำงานเป็นนักแสดงในบาร์แล้วนั้น เธอยังเป็นผู้จัดการบริกรในโรงแรมอีกด้วย แต่ทว่าในวันหนึ่งอัลลี่ทนไม่ไหวกับการกดขี่ข่มเหงในการทำงานจากหัวหน้า เธอจึงตัดสินใจลาออกและเริ่มทำตามความฝันของตัวเองในการเป็นนักร้อง จนได้พบกับแจ็คอีกครั้ง ทั้งคู่หลงรักกันและกันในทันทีที่ได้เจอ และความรักของทั้งคู่ ก็ทำให้ความฝันของทั้งสองทั้งหน้าที่การงาน ที่มาพร้อมกับเส้นทางใหม่ในชีวิต
เป็นอีกหนึ่ง หนังรักสุดซึ้ง ที่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งหรือฟังพลงประกอบกี่ครั้งก็บีบคั้นหัวใจทุกครั้ง ที่นอกจากสะท้อนให้เห็นความสีเทาและโลกเบื้องหลังของคนวงการบันเทิงแล้ว สิ่งที่ทำให้เราเรียนรู้จากหนังเรื่องนี้เลย คงหนีไม่พ้นการยอมรับและให้โอกาสซึ่งกันและกัน มากไปกว่านั้นคงหนีไม่พ้นการจับมือและก้าวผ่านปัญหาที่ “เรา” ทั้งคู่ต้องเจอ
แต่ทว่าสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการบอกกับเราอีก คงหนีไม่พ้นบาดแผลและผลกระทบที่ได้จากการเป็นคนเบื้องหน้าของวงการบันเทิง บ่อยครั้งเราอาจจะมองว่าบุคคลเหล่านี้ ใช้ชีวิตสวยงาม ไม่เห็นมีเรื่องที่ต้องเดือดร้อน แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เราเห็น บุคคลเหล่านี้ ต้องแบกรับแรงกดดัน ความหวัง ความฝัน และชื่อเสียงของตัวเองเอาไว้ “หากการเดินตามความฝันและความรักของเรา ปราศจากซึ่งชื่อเสียงแล้ว มันคงจะดีกว่านี้”
Photo Credit:
- vanityfair
- hollywoodreporter
- rogerebert
- vulture
- myonlineworld
- thefilmfav
- thairath
- kwanmanie
- empireonline
- hallymustang
Stay connected