สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เนื่องด้วยบทความนี้เป็นบทความแรกในปี 2021 ของเรา งั้นเราขอถือโอกาสนี้ในการสวัสดีปีใหม่สาวๆ กันอีกครั้งนะคะ วันนี้ Clubsister เราขอ Wrap up และ จัดอันดับซีรีส์ทั่วทุกมุมโลกที่คิดว่าเจ๋งและดีมาฝากสาวๆ กันกับ “แนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุด 5 เรื่อง ที่เหล่าคอซีรีส์ทั่วทุกมุมโลกไม่ควรพลาด!” บอกเลยว่าใครยังไม่เคยดูเรื่องไหน ไปตามกันได้เลยค่า
แนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุด 5 เรื่อง ที่เหล่าคอซีรีส์ทั่วทุกมุมโลกไม่ควรพลาด!
” ปูลู การจัดอันดับดังกล่าวเป็นความคิดเห็นและการนำเสนอส่วนบุคคลนะคะ “
เรื่องที่ 1: Itaewon Class
สามารถรับชมได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชมภาพยนตร์)
ประเภทซีรีส์: ดราม่า, สร้างแรงบันดาลใจ
จำนวนซีซั่น: 1 ซีซั่น
เมื่อตอนต้นปีที่ผ่านมามีซีรีส์สัญชาติเกาหลีเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าเขย่าวงการและสร้างความฮิตยอดนิยมกันทั่วประเทศ ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้ซอสปรุงรสซึ่งเป็นส่วนประกอบของเรื่องขาดตลาดกันมาแล้ว (บอกตรงนี้เลยว่าทางเราไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆ) และแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องแรกจะเป็นเรื่องใดไปไม่ได้นอกจาก “Itaewon Class”
เรื่องราวของ “พัคแซรอย” ชายหนุ่มผู้ที่เหมือนชะตาชีวิตกลั่นแกล้งจากการเข้าโรงเรียนวันแรกก็มีเรื่องชกต่อยกับลูกผู้มีอิทธิพลในวงการธุรกิจร้านอาหาร ไม่เพียงแค่นั้น พ่อของเขาผู้ซึ่งเป็นคนในครอบครัวคนสุดท้ายที่มีอยู่ก็ดันถูกบีบบังคับจากเหตุการณ์ที่ลูกชายของเขาก่อทำให้ถูกไล่ออกจากที่ทำงาน หลังจากนั้นพ่อของเขาประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์โดยชนจนเสียหลักผลิกคว่ำเสียชีวิต
จากเหตุการณ์นี้ทำให้พัคเซรอยตามล่าคนที่เป็นต้นเหตุทำให้พ่อเขาตายจนพลอยทำให้ตนเองติดคุกอยู่หลายปี แต่ทว่าด้วยบทเรียนและเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขาเรียนรู้ทุกๆ วินาที และ พร้อมที่เริ่มต้นใหม่กับชีวิตพร้อมแรงแค้นที่เขาวาดฝันเอาไว้
ที่แนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องแรกนี้เป็นเรื่องนี้เพราะว่าเป็นเรื่องที่ส่วนตัวเรามองว่าทั้งสอนและสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปในสังคมและโลกทุนนิยมได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่นั้นยังสอดแทรกความเลื้อมล้ำทางเพศและฐานะได้อีกด้วย สิ่งที่ทำให้เราประทับใจเลยคงหนีไม่พ้นความคิดและวิธีการจัดการของตัวละครเอกในเรื่องหลายๆ ตัว
จากในเรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่าพระเอกไม่ใช่คนเดียวที่เก่งในทุกๆ ด้าน และเพราะมีเพื่อนร่วมความคิด ลูกน้อง เพื่อนและบริวารต่างๆ ทำให้แต่ละคนเติบโตไปและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และนั่นทำให้ตัวละครเอกแต่ละตัวในเรื่องเติบโตไปพร้อมๆ กัน ในแต่ละด้าน
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราชอบและมูฟออนจากเรื่องนี้ไม่ได้เลยคือ อาหาร (พูดแล้วก็หิว) เป็นซีรีส์อีกหนึ่งเรื่องที่ดูทีไร หิวทุกที และทุกครั้งที่มีฉากอาหารโผล่มา ไม่เพียงแค่นั้นเป็นซีรีส์ที่ทำให้เราอยากเดินเข้าครัวและลงมือทำซุปกิมจิ ณ เดี๋ยวนั้นเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ 2: It’s Okay to Not Be Okay
สามารถรับชมได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชมภาพยนตร์)
ประเภทซีรีส์: โรแมนติก, ดราม่า, จิตวิทยา
จำนวนซีซั่น: 1 ซีซั่น
เขยิบมาหน่อยสักประมาณๆ กลางๆ ปี อีกหนึ่งซีรีส์ที่ได้กระแสตอบรับจากทั่วประเทศและดั๊น! ไปดังในยุโรป (แต่ในตัวประเทศเกาหลีเองกลับเรตติ้งไม่ค่อยดีเท่าไร) จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ที่เราจะแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องที่สองนั่นก็คือ “It’s Okay to Not Be Okay” นอกจากเนื้อเรื่องที่กระแสตอบรับดีแล้ว หุ่นและเอวของนางเอกในเรื่องยังเป็นที่ฮือฮาจนติดเทรนด์ Twitter และ Naver.com เลยทีเดียว
โดย It’s Okay to Not Be Okay เป็นเรื่องราวของ “มุน คังแท” บุรุษพยาบาลหนุ่มในโรงพยาบาลจิตเวช เขาอาศัยกับพี่ชายที่มีปัญหาเป็นออทิสติกแต่เด็กเพียงลำพัง บ่อยครั้งที่พี่ชายมักสร้างความเดือดร้อนและไม่สบายใจให้เขาแต่ส่วนมาก มุน คังแท ก็จะทำได้เพียงยิ้มรับพร้อมปลอบใจแว่ามันจะไม่เป็นไรเสมอ
ในวันหนึ่งโรงพยาบาลที่ มุน คังแท ทำงานมีจัดสัมนาการอ่านหนังสือนิทานสำหรับเยาวชนโดยนักเขียนที่มีชื่อเสียง ณ ขณะนั้นอย่าง โก มุนยอง แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น มีผู้ป่วยหลบหนีและลักพาตัวเด็กสาวคนหนึ่งกลางงานสัมนา ทำให้เกิดเรื่องโกลาหล อีกทั้งเกิดการต่อสู้กันระหว่าง โก มุนยอง และ ผู้ป่วย ด้วยเหตุนี้ทำให้ มุน คังแท บุรุษพยาบาลจึงรีบเข้าไปจัดการ จนเลยเถิดกลายเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่บังเอิญอีกต่อไป
เอาละเราขอยอมรับและสารภาพตรงนี้เลยว่าที่แนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องนี้ เพราะ “เราติดซีรีส์เรื่องนี้มากจริงๆ” เป็นซีรีส์ที่หากตัดเรื่องโรแมนติก น่ารักมุ้งมิ้ง หรือฉากดราม่าพระนางเอก พร้อมทั้งสอดแทรกข้อมูลและเรื่องราวทางเชิงจิตวิทยา ให้กับคนดูไปในตัว อีกทั้งเราคิดว่าเป็นซีรีส์จิตวิทยาที่น่าสนใจและคนปกติอย่างเราๆ ควรดูเป็นที่สุด
อย่างแรกเลยที่ชอบคือการสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องการป่วยทางจิตหรือทางใจนั้น น่ากลัวและควรเฝ้าระวังไม่แพ้กับโรคที่ป่วยทางกายเลยก็ว่าได้ หากพูดกันตามความจริงโรคที่ป่วยทางกายบางครั้งหาหมอตรวจให้ยาทานก็หาย แต่ทว่าโรคทางใจนั้น มันไม่ได้รักษากันง่ายๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม กำลังใจ และคนรอบข้าง ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเน่าเฟะและความละเลยของคนในครอบครัวที่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ บางคนคิดว่าคนที่ป่วยด้วยโรคทางใจเป็นคนที่แค่เรียกร้องความสนใจ ก้าวร้าว และอยากเด่นเท่านั้น แต่การกระทำทุกอย่าง ล้วนมีที่มาที่ไปเสมอ
สุดท้ายสิ่งที่หนังต้องการจะบอกคนดูหลายๆ คนเลยคือ ผู้ป่วยทางจิต ไม่ใช่คนที่แปลกอะไร ไม่ใช่คนที่ต้องการแค่อาหารและที่พักอาศัย แต่สิ่งที่บุคคลเหล่านี้ต้องการคือความรัก กำลังใจ ความเข้าใจ และเชื่อมั่นในตัวพวกเขาที่จะสามารถใช้ชีวิตและก้าวต่อไปได้โดยที่มีคนคอยซัพพอร์ทอยู่เสมอแค่นั้นเอง
เรื่องที่ 3: The Queen Gambit
สามารถรับชมได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชมภาพยนตร์)
ประเภทซีรีส์: สร้างแรงบันดาลใจ, ดราม่า
จำนวนซีซั่น: 1 ซีซั่น
ขอข้ามประเทศและทวีปมาฝั่งยุโรปและอเมริกากันซักหน่อยกับซีรีส์ที่ฮือฮาและสร้างความประทับใจให้กับแฟนคลับ Netflix ทั่วทุกมุมโลก ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เรียกว่าสร้างชื่อเสียงให้กับดาราสาวผู้ซึ่งมีปมใยอดีต พร้อมทั้งบุคคลิกที่น่าค้นหาและฝีมือการแสดงที่น่าจับตามองกับ อันยา และแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องถัดไปเป็นเรื่อง “The Queen Gambit”
เป็น Limited Series ของ Original Netflix ซึ่งเป็นซีรีส์แนว Period (หรือย้อนยุคหน่อยๆ) พูดถึง “เบธ ฮาร์มอน” เด็กสาววัย 9 ขวบ ผู้มีถูกส่งตัวมาอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า พร้อมบาดแผลและความหวาดกลัวภายในจิตใจ เธอมีปัญหากับการเข้าสังคมและสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ แต่ทว่าสิ่งที่ช่วยเยียวยาและปลอบประโลมจิตใจของเธอได้นั้นคือ หมากรุก
เธอเริ่มเรียนรู้และเริ่มเล่นหมากรุกจากการฝึกสอนของภารโรงในชั้นใต้ดิน ซึ่งถือว่าเป็นครูคนแรกของเธอที่ทำให้เธอรู้ว่าเธอรักในกีฬากระดานนี้ อีกทั้งเธอยังค้นพบตนเองว่าเธอมีความสามารถพร้อมไหวพริบกับกีฬานี้อีกด้วย
บอกเลยว่าสิ่งที่ทำให้เราประทับใจและอยากแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องนี้เลยคือ การถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดต่างๆ มากมายของหญิงสาวคนหนึ่งในยุคสงคราม ไม่เพียงแค่นั้นสิ่งที่ทำให้เราติดกับซีรีส์เรื่องนี้อย่างเต็มเปาเลยคือฝีมือการแสดงของน้องจอยหรืออันยาของเรา
บอกเลยว่าเธอถ่ายทอดตัวตนและปมปัญหาของตัวละครอย่าง เบธ ออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ลักษณะท่าทาง แต่เป็นทุกอย่างที่เธอแสดง สายตา การพูด อารมณ์ หรือแม้กระทั่งสีหน้า เธอทำมันออกมาได้ดีจนเรารู้สึกว่าเธอเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับเบธเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ 4: แปลรักฉันด้วยใจเธอ
สามารถรับชมได้ที่: LINE TV (คลิกเพื่อรับชม)
ประเภทซีรีส์: วัยรุ่น, โรแมนติก, ดราม่า, ครอบครัว
จำนวนซีซั่น: 1 ซีซั่น
สวัสดีค่า กลับมาบ้านเกิดที่แสนสุขของเรากันดีกว่า เพราะซีรีส์ที่อยากแนะนำถัดไปเลยคือซีรีส์วัยรุ่นหรือ Coming of Age ของไทยเราที่ โด่งดังไปไกลจนถึงประเทศจีน เรียกได้ว่าสร้างฐานแฟนคลับจากจีนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นซีรีส์ที่โด่งดัง พร้อมกระแสตอบรับอย่างหล่นหลามกับ “แปลรักฉันด้วยใจเธอ หรือ I Told You Before Sunset”
เป็นเรื่องราวของ “เต๋” เด็กชายในครอบครัวคนจีน ผู้มีความฝันและความทะเยอทะยานที่จะสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพให้ได้ เพื่อเดินตามความฝันและเป็นที่น่าภูมิใจให้กับแม่และพี่ชายของเขา ซึ่งเต๋นั้น มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อว่า “โอ้เอ๋ว” เด็กชายเรียบร้อยบ้านรวยว่าที่เจ้าของรีสอร์ทใหญ่ในภูเก็ต แต่ทว่าเขานั้นไม่รู้ความฝันตนเอง จนได้มาสนิทและรู้จักกัน
ในวันหนึ่งโอ้เอ๋วได้ถูกทาบทามให้เล่นละครเวทีของโรงเรียน ในบทตัวละครที่เต๋ชอบมากที่สุด และนั้นทำให้เกิดจุดแตกหักระหว่างเขาทั้งสอง เมื่อวันเวลาผ่านไปทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันไปเรียนมัธยมปลายคนละที่แต่บังเอิญต้องได้มาเจอกันอีกครั้งในที่เรียนพิเศษ และหลังจากนั้นความสัมพันธ์และเรื่องหัวใจของเขาทั้งสองก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย
และสิ่งที่อยากจะแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องนี้เลยนั้นคือการสะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมทางเพศและถ่ายทอด Insight ของความสับสนในใจของวัยรุ่นในช่วง Coming of Age ได้เป็นอย่างดี หลักๆ แล้วเรื่องนี้ต้องการนำเสนอการแสดงออกอย่างอิสระในเรื่องของเพศ ซึ่งประเทศไทยและสังคมวัฒนธรรมคนเอเซียนั้น มีการถูกจำกัดกรอบทางการแสดงออกในเรื่องนี้อยู่มาก
ถึงแม้ว่าสังคม ณ ปัจจุบันจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่ด้วยการปลูกฝังค่านิยมต่างๆ ของวัฒนธรรมคนเอเซียหรือแม้กระทั่งประเทศไทยเองยังไม่ได้มีการยอมรับเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย ทำให้ส่งผลกระทบต่อการแสดงออกและค่านิยมต่างๆ ส่วนตัวเราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนปัญหาของวัยรุ่นในแง่มุมเพศอย่างเดียว
อีกเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจเป็นที่สุดเลยคือ สถาบันครอบครัว ในวัยที่เรายังเป็นวัยรุ่น ส่วนใหญ่เรามักเชื่อเพื่อนเสียส่วนมาก แต่ทว่าในเรื่องนี้ทำให้เรามองเห็นว่า เมื่อเรามีปัญหานั้น ครอบครัวเป็นอีกหนึ่งแกนหลักสำคัญที่ทำให้เราพ้นข้ามวิกฤตหรือความขับข้องใจเหล่านี้ไปได้
เรื่องที่ 5: Alice in a borderland
สามารถรับชมได้ที่: NETFLIX (คลิกเพื่อรับชมภาพยนตร์)
ประเภทซีรีส์: ระทึกขวัญ, เอาตัวรอด, ดราม่า
จำนวนซีซั่น: ณ ปัจจุบบัน 1 ซีซั่น (ยังไม่จบ)
และการแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องสุดท้ายจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ นอกจากซีรีส์ญี่ปุ่นที่โด่งดังชั่วข้ามคืน จากการนำมา Remake ใหม่ของมังงะที่มีชื่อเรื่องภาษาไทยว่า “อลิสกับดินแดนมรณะ” โดยซีรีส์เรื่องนี้ดีและน่าติดตามจนติด Top 10 มาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2020
จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจาก “Alice in a borderland”
เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า อะริสุ เรียวเฮ แต่เพื่อนๆ ของเขาทั้งโชตะ และ คารุเบะ เรียกเขาว่า อลิส พวกเขาทั้งสามคนเป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่นหรือ Passion อะไรเหมือนคนอื่นเขา เรียกได้ว่าเหมือน Loser ของห้องหรือสังคมที่เขาอยู่เลยก็ว่าได้ ในวันหนึ่งขณะที่พวกเขาได้นั่งเล่นกันอยู่นั้นอยู่ๆ ก็เกิดแสงประหลาดพุ่งลงมาจากท้องฟ้า และเหมือนตัวของพวกเขาหลุดไปยังโลกหรือมิติหนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที บ้านเมืองพังละเนละนาด ไฟฟ้าถูกตัดขาด โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารไม่สามารถใช้ได้
แต่ทว่าเมื่อพวกเขาต้องการหาคำตอบจากเรื่องนี้ ก็ได้พบความจริงที่ว่า เขากำลังอาศัยอยู่ในเมืองหนึ่ง ที่คล้ายโตเกียว แต่ถูกเรียกว่า “ดินแดนมรณะ” สิ่งที่ผู้อาศัยต้องทำในดินแดนแห่งนี้คือ การเล่นเกม ที่แบ่งระดับและประเภทตามหน้าไพ่ เพื่อต่ออายุวิซ่าตัวเอง ใครวีซ่าหมดเท่ากับเกมโอเวอร์ และไม่เพียงเท่านั้นในบางเกมที่พวกเขาต้องเล่นนั้น ก็อาจจะทำให้เกมโอเวอร์ได้เหมือนกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า “ตาย” ด้วยเหตุนี้ทำให้อลิสและเพื่อนต้องจำใจอยู่ในดินแดนนี้ พร้อมกับตั้งคำถามมากมายว่า “เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขากันแน่”
และหากถามว่าทำไมเราถึงแนะนำซีรีส์ 2020 ที่ดีที่สุดเรื่องนี้นั่นก็เพราะว่าเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่น่าสนใจอีกทั้งยังทิ้งคำถามกับคนดูที่ว่า “คนเราเกิดมาใช้ชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร” เอ่อ จริงๆ แล้วคำถามนี้อาจจะผุดขึ้นมาในความคิดของใครหลายๆ คนโดยที่ไม่จำเป็นต้องดูซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ได้
นอกจากซีรีส์เรื่องนี้จะนำเสนอความคิดและทิ้งทวนคำถามปลายเปิดในเรื่องนี้แล้วละก็ สิ่งที่ทำให้เราชอบในตัวซีรีส์เรื่องนี้เลยคือการนำเสนอภาพ มุมกล้อง และโทนสี บอกได้เลยว่า นี่แหละคือสเน่ห์ของซีรีส์ญี่ปุ่นที่ยังคงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เอาไว้เสมอ และสิ่งสุดท้ายเลยคือ ซีรีส์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่หุดดูไม่ได้เลยตั้งแต่ตอนแรก ลุ้นตั้งแต่ 5 นาทีแรกจนถึงวินาทีสุดท้ายเลยจริงๆ
Photo Credit:
- adaymagazine
- thaiphotos
- dryedmangoez
- trueastasia
- lifestyleasia
- newyorker
- posttoday
- thethaiger
- sportsgaming
- otakukart
Stay connected