สวัสดีค่าสาวๆ ซิสเตอร์ที่น่ารักทุกคน ไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาเด็กๆ วัยรุ่นวัยทีนเริ่มเปิดเรียนกันแล้ว บางคนเริ่มเรียนออนไลน์กันอย่างเต็มตัว และแน่นอนพอเริ่มเปลี่ยนวิธีการเรียนใหม่ ปัญหาต่างๆ ก็เริ่มตามมา ก็อย่างว่าละใครว่าเป็นวัยรุ่นมันไม่เหนื่อย วัยรุ่นก็มีเรื่องให้คิดเหมือนกัน วันนี้ Clubsister เรามีหนังและซีรีส์เอาใจวัยรุ่นวัยทีนมาฝากกันกับ “4 หนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่น!” โลกจะได้รู้ว่า เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย! ให้โลกได้รู้กันเลยว่ากว่าจะเป็นวัยรุ่นได้ถึงทุกวันนี้ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด อย่ารอช้า! ใครไม่อยากเหนื่อยเริ่มดูเรื่องแรกกันเลย
เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย ไม่อยากเหนื่อยต้องนั่งดู 4 หนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่น!
เรื่องที่ 1 : The Girl From Nowhere
Available on: NETFLIX
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.7 / 10
หนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่นเรื่องแรก บอกเลยว่าเป็นซีรีส์วัยรุ่นที่เราติดตามมาอย่างต่อเนื่องและสนใจอยากจะดูตั้งแต่ Trailer ออกมาใหม่ๆ เป็นซีรีส์สัญชาติไทยสะท้อนสังคมและชีวิตวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี เป็นซีรีส์วัยรุ่นเรื่องแรกที่กล้าทำออกมาในรูปแบบนี้ จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจาก The Girl From Nowhere หรือ ที่ใครหลายๆ คนรู้จักในชื่อ “แนนโน๊ะ” แต่ว่าแนนโน๊ะ ไม่ใช่ชื่อเรื่องภาษาไทยแต่อย่างใด เป็นเพียงชื่อตัวละครหลักที่ดำเนินเรื่องเท่านั้น
โดย The Girl From Nowhere ชื่อไทยคือ เด็กใหม่ หรือ บางคนรู้จักกันในชื่อเรื่องว่า แนนโน๊ะ (ซึ่งเราก็เป็นคนหนึ่งที่เรียกแบบนั้น) เป็นซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากข่าวและคดีจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับนักเรียนและวัยรุ่น ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กนักเรียนสาวหน้าใหม่ที่มีนามว่า “แนนโน๊ะ” เธอเป็นเด็กหญิงปริศนาที่เมื่อย้ายไปที่ไหนก็ตาม โรงเรียนนั้นจะต้องมีเรื่องทุกที
The Girl From Nowhere เป็นหนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่นที่เรากล้าพูดเลยว่า ซีรีส์ไทยไม่มีเรื่องไหนเลยที่ทำออกมาเป็นแนวนี้ เป็นซีรีส์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเยาวชน เด็ก และวัยรุ่นซึ่งเกิดขึ้นได้ทั่วไปทั้งในโรงเรียน บ้าน และกลุ่มเพื่อน ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและส่วนมากถูกละเลยจากผู้ใหญ่ทั้งสิ้น แม้กระทั่งปัญหาเหล่านั้นเกิดจากผู้ใหญ่ที่ทำร้ายเด็ก ไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
แต่หากพูดถึงพล็อตเราชอบตรงที่เสียดสีสังคมและสื่อความหมายในแต่ละตอนออกมาได้ดีเยี่ยม บางคนอาจจะคิดว่าโรงเรียนคือสถานที่ปลอดภัยที่สุด รองลงมาจากบ้านที่แสนอบอุ่น คุณครูผู้เปรียบเสมือน พ่อและแม่คนที่สอง ที่พร้อมจะปกป้องเรา แต่เปล่าเลย ความเชื่อใจไว้ใจที่มีกลับพังทลายเพราะกิเลส ราคะที่ไม่เคยหยุด
อีกทั้งเพื่อนที่ว่ารักกันดี สามารถกลับกลายเป็นศัตรูได้เพียงข้ามคืน อีกทั้งยังหักหลังและต่างทิ่มแทงกันด้วยคำพูดและการกระทำต่างๆ เพราะแบบนี้เราถึงได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นกับเด็กวัยรุ่นอยู่บ่อย ๆ
เรื่องที่ 2 : Sex Education
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 8.3 / 10
หนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่นเรื่องต่อไปนี้ เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่รวมปัญหาเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาใหญ่หลวงของเหล่าวัยรุ่นวัยใสเลยก็ว่าได้ และเรื่องนี้คือ Sex Education ซีรีส์ฝั่งอังกฤษบน NETFLIX ที่พูดถึงโอทิส เด็กชายวัยมัธยม ผู้ซึ่งมีคุณแม่เป็น นักบำบัดเฉพาะเรื่องบนเตียงและความสัมพันธ์ อาจจะเพราะเขามีแม่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแบบนี้ ทำให้เขารู้จักและเรียนรู้วิธีการพูดและให้คำปรึกษาเรื่องอย่างว่ามาโดยปริยาย
และด้วยเหตุนี้ทำให้เมฟ เด็กสาวสุดแซ่บ ประจำโรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นของเขา เห็นเรื่องนี้เป็นโอกาสเลย ลองก่อตั้งศูนย์รับคำปรึกษาเรื่องอย่างว่าซะเลย ถึงแม้โอทิสจะได้สกิลการบำบัดมาจากแม่ แต่ตัวเขากลับเผชิญปัญหาไม่กล้าจับอวัยวะตัวเองซะงั้น และเรื่องราววุ่นวายที่มาพร้อมกับวัยรุ่นก็เริ่มต้นขึ้น
สำหรับเรารู้สึกว่าหนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่นเรื่องนี้ นำเสนอปัญหาของวัยรุ่นได้ดี ลองมองย้อนกลับไปตอนเราเป็นเด็กใสวัยมัธยม เรามีปัญหาอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกในชีวิต เรื่องแรกเลยคือ ความรัก ความสัมพันธ์ เรื่องที่สองคือ เรื่องความอยากรู้อยากเห็นเรื่องอย่างว่า เรื่องที่สามคือ เรื่องเพื่อน และครอบครัว สัพเพเหระอื่น ๆ
และด้วยเหตุนี้ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้หยิบยกประเด็นความสนใจและอยากรู้อยากเห็นของเด็กวัยนี้มา พร้อมสอดแทรกความรู้ ความแนะนำ ตามสไตล์ของมันเอง ซึ่งทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เรารู้สึกว่าเป็นการสอนเรื่องเพศ เรื่องความสัมพันธ์ที่เห็นภาพได้ชัดเจน และก็ไม่ได้ยากที่จะเข้าถึง วัยรุ่น 18 ปีสามารถดูได้ แต่ต่ำกว่า 16 ไม่ควร (ฮ่าๆ)
นอกจากเรื่องบนเตียง เรื่องความสัมพันธ์ ความรักต่าง ๆ แล้ว ซีรีส์และหนัง เอาใจวัยรุ่นเรื่องนี้ยังหยิบยกประเด็น ของการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของเด็กวัยรุ่นวัยนี้ได้ดีมากเรื่องหนึ่ง ตัวอย่างง่าย ๆ อย่างการถูก Labelization หรือเรียกอีกอย่างว่า การถูกตีตรา หลายครั้งที่เราจะเห็นว่ามีเพื่อนคนหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นคนแบบนี้ แบบนั้น
แต่อย่าลืมว่าคนเรามักมีสองด้านเสมอ การที่เขาถูกคนมองแบบนั้นใช่ว่าเขาจะเป็นเหมือนคนที่มอง นอกจากเรื่องนี้แล้วมีอีกหลายเรื่องที่เป็นปัญหาในชีวิตวัยรุ่น ซึ่งเรารู้สึกว่า เรื่องนี้ทำออกมาได้ค่อนข้างครอบคลุม และที่สำคัญเรารู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่มุมการนำเสนอปัญหาต่าง ๆ ของเด็กวัยรุ่นในมุมตลกโปกฮา แต่ยังนำเสนอมุมมองความรักแบบใส ๆ ที่ทำให้เรายิ้มตามได้อีกด้วย
เรื่องที่ 3 : 13 Reasons Why
Available on: NETFLIX
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.7 / 10
หากจะให้ยกหนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่น ที่ยกโขยงให้เห็นถึงปัญหาต่างๆ ที่วัยรุ่นต้องเจอ เราคงยกซีรีส์ดราม่า Coming of Age เรื่องนี้ ให้เป็นเหมือนอุทาหรณ์สะท้อนสังคมกับ 13 Reasons Why ซีรีส์ชื่อดังอีกเรื่องหนึ่งบน NETFLIX เลยก็ว่าได้ ว่าด้วยเรื่องราวของ เคลย์ เด็กชายที่สูญเสียเพื่อนสาว แฮนนาห์ ไป จากการฆ่าตัวตาย
หลังจากนั้นไม่นานมีเทปปริศนาจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้น หลังจากที่เคลย์ได้ฟังเทปนั้น ก็ได้รู้ว่า เสียงที่อยู่ในเทปเหล่านั้นคือเสียงของ แฮนนาห์ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ และเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเคลย์เป็น 1 ในเหตุผลของการตัดสินใจของเธอด้วยเช่นกัน
หนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่นเรื่องนี้นำเสนอหลักทฤษฎีของ Butterfly effect หรือถ้าจะเรียกกันให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ ก็สามารถส่งผลให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ในอนาคต โดยวิธีการเล่าเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้คือการ Flash Back ไปพร้อม ๆ กับ Voice over และ ภาพปัจจุบันของพระเอก เพื่อให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตตามคำบอกเล่าเรื่องของแฮนนาห์ผ่านเทป ซึ่งทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์และความรู้สึกของแฮนนาห์ตามความเข้าใจของพระเอก แต่สิ่งที่เราเห็นจากในซีรีส์นั้นไม่ใช่แค่ความรู้สึกบาง ๆ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่มันทำให้เราเห็นสะเก็ดแผลเล็ก ๆ ที่เรื้อรังกลายเป็นรอยแผลเป็นในจิตใจของคนๆ หนึ่ง ที่ยากจะรักษา
บ่อยครั้งที่ในสมัยเรียน หรือ เราเป็นวัยรุ่น เรามักเจอคำพูดทั้งทีเล่นทีจริง ที่ตอนแรกก็เหมือนจะขำ ๆ แต่สุดท้ายแล้วไม่ขำอย่างที่เคยคิด ไปๆ มาๆ มันกลับมีอิทธิพลทางความรู้สึก หรือบางการกระทำที่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่หากเราต้องเจออยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายจิตใจที่บอบช้ำกลับทนไม่ไหว ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ต้องการนำเสนอมุมมองเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้ ให้กับเรา สำหรับเรา เราคิดว่า 13 Reasons why ทำออกมาได้ค่อนข้างดีทีเดียว สะท้อนปัญหาของวัยรุ่นกับเรื่องคำพูดและทัศนคติการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี (ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ง่วงนอน และ น่าเบื่อบ้าง)
เรื่องที่ 4 : IT CHAPTER 1 – 2
Available on: NETFLIX (Only Chapter 1)
ได้รับคะแนนจาก IMDb: เฉลี่ย 7 / 10
ใครว่าหนังสยองอย่าง IT จะเป็นหนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่น ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงช่วงวัยได้ดีไม่แพ้หนังเรื่องอื่นๆ เลยก็เป็นได้ หากใครเป็นแฟนหนังสยองขวัญ ต้องรู้จักเรื่องนี้เป็นอย่างดีแน่นอน IT ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายแนว Horror Mystery ของนักเขียนชื่อดังอย่าง Stephen King ซึ่งเคยโด่งดังมาแล้ว จากมินิซีรีส์เมื่อปี 1990 พร้อมนำกลับมา Remake ใหม่
เป็นสไตล์ภาพยนตร์เมื่อปี 2017 เป็น Chapter 1 และ Chapter 2 ซึ่งเป็นบทสุดท้าย โดยเรื่องงราวในตอนใน Chapter 1 เริ่มต้นขึ้นเมื่อน้องชายของ บิลล์ เด็กหนุ่ม 1 ในแก๊งค์ Loser หายตัวไป บิลเลยชักชวนพักพวกออกตามหาน้องชาย แต่ทว่าในการตามหาน้องชายของเขานั้น กลับพาให้เขาไปเจอเรื่องราวที่น่าสยดสยองและเป็นเหมือนฝันร้ายของเมืองนี้เข้า
และใน Chapter 2 เป็นเรื่องราวของเหล่าแก๊งค์ Loser ที่เติบโตขึ้นและเวลาล่วงเลยมา 27 ปี ต่างคนต่างแยกย้ายออกจากเดอร์รี่ เมืองบ้านเกิดพร้อมทิ้งอดีตอันเลวร้ายเอาไว้ แต่ทว่าในวันหนึ่งกลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องกลับมาเจอกัน พร้อมจำใจต้องทำตามคำมั่นสัญญาสุดท้ายก่อนจากกันในตอนเด็ก และในการกลับมาเดอร์รี่ในครั้งนี้ของพวกเขา ทำให้เขาต้องเจอเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง
จะว่าไปแล้วถ้าจะให้เทียบความสยองของหนังและซีรีส์ เอาใจวัยรุ่นเรื่องสุดท้ายนี้ เราว่าภาค 1 ทำได้ดีกว่า อาจเพราะภาค 2 อาจเพราะพอจับจังหวะของมันได้บ้าง (แต่ก็ยังมีบางซีนที่แอบสะดุ้งจิ๊ดนึง พอซู่ซ่า) ในส่วนแง่คิดและสิ่งที่หนังต้องการจะบอก ก็คงหนีไม่พ้นการปรับตัวและความคิด พฤติกรรมต่างๆ ของวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ซึ่งใน Chapter 1 คนดูจะได้สัมผัสถึงบาดแผลในจิตใจและสิ่งที่ทำให้ทุกคนกลัว เหมือนเป็นบาดแผลฝังลึก
แต่ใน It Chapter 2 หนังบอกจุดนั้นให้กับเราได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นปมด้อยและจุดผิดพลาดในอดีตที่ไม่เคยเรือนหายไป ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป ในบางครั้งมันดูเหมือนจะจางหาย แต่สุดท้ายหากเราได้กลับไปในจุดเดิม ที่เดิม สถานการณ์เดิม ภาพความทรงจำหรือปมเหล่านั้นก็กลับมา ทำร้ายเราได้อยู่ดี
และอีกสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกเราเลยคือ บางครั้งการติดอยู่กับที่เดิม เพื่อหวังว่าซักวันหนึ่งเราจะลบล้างหรือแก้ไขเรื่องราวต่างๆ ได้นั้น ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด บางครั้งการก้าวออกไปเจอโลกใบใหม่ หรือละทิ้งบางสิ่งที่คอยทำร้ายเรานั้น ก็ถือเป็นการแสดงความเข้มแข็งและจุดยืนอย่างหนึ่ง
Photo Credit:
Comments
comments
Stay connected