สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสทุกคน เราอาจจะสงสัยว่าทำไมกันน้าความรักของเราถึงไม่หอมหวาน ดูน่ารักตะมุตะมิเหมือนหนังหรือซีรีส์ รอม-คอมทั่วไป ก็ในขณะที่ว่าหนังมักสร้างมาจากชีวิตจริงนินา
เพราะแบบนี้แหละเราถึงลืมไปว่า บางครั้งความรักของเราก็ไม่ได้โดรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ด้วยเหตุนี้ Clubsister ขอแนะนำ ตามดู “5 หนัง ซีรีส์ สะท้อนความรัก ในชีวิตจริง” มาดูกันว่าในชีวิตจริงเราจะได้พบเจอความรักแบบไหนกันบ้าง เริ่มกันเลย!
ตามดู “5 หนัง ซีรีส์ สะท้อนความรัก ในชีวิตจริง”
เรื่องที่ 1: La La Land (คลิกเพื่อรับชม)
คะแนนที่ได้จาก IMDB: 8 / 10
ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 2 ชั่วโมง 8 นาที
หนัง สะท้อนความรักเรื่องแรกที่อยากจะแนะนำเลยก็คือ “La La Land” หรือในชื่อไทยคือเรื่อง “นครดารา” ผลงานจากผู้กำกับหนุ่มที่มีฝีมือการกำกับหนังที่มีความเอ็นเอกลักษณ์อย่าง “Whiplash” มาก่อน ซึ่งในครั้งนี้ La La Land ขนเอานักแสดง Romantic, Drama จากหนังรักเรื่องดัง Crazy, Stupid, Love อย่าง Emma Stone และ Ryan Gosling
La la Land เป็นเรื่องราวของ “มีอา”สาวเสิร์ฟผู้มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงมืออาชีพ ในวันหนึ่งเธอไปเที่ยวบาร์กับเพื่อนสาวของเธอจนได้พบกับชายหนุ่มที่มาพร้อมกับเสียเปียโนที่ไพเราะจนเธอต้องหยุดหันมามองอย่าง “เซบ” นักเปียโนในบาร์แจ๊ส ผู้มีความฝันอยากจะเปิดร้านแจ๊ส พร้อมกับเล่นดนตรีที่เขารักในร้านของตนเอง ทั้งคู่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันในเวลาที่รวดเร็ว
แต่ทว่าในเมื่อความฝันกับความรักมันไม่ได้ไปด้วยกัน ทั้งคู่จึงต้องหาทางออกกับคำถามเหล่านี้
เราต้องขอบอกเลยว่านอกจากเพลงประกอบ ความสวยงามของาพและโทนสีแล้วนั้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้ La La Land เป็นหนังที่น่าดู พร้อมสะท้อนแง่มุมของหนัง สะท้อนความรักได้ดี เลยคือ
สิ่งที่หนังต้องการสื่อออกมา เราเชื่อว่าปัญหาคู่รักหลายๆ คู่ มักมากจาเรื่องเหล่านี้
เช่น ความฝันและหน้าที่การทำงานมันไม่เป็นไปตามทางที่จะเดิน ถ้าเราอยากไปต่อ เราอาจจะจำเป็นต้องทิ้งความสุขบางอย่างไป หรือหากจะเลือกความสุข เราอาจจะต้องเสียโอาสในความฝันไป เรียกได้ว่าทุกสิ่งที่เลือกมีราคาที่ต้องจ่าย มันคงจะโชคดีหากความฝันและความรักเดินทางร่วมกันได้ โดยเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นำเสนอมุมมองความรักและความฝันออกมาได้ดีเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ 2: 500 Days of Summer
คะแนนที่ได้จาก IMDB: 7.7 /10
ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 1 ชั่วโมง 35 นาที
ต่อมาเป็นหนังรอม-คอม (สำหรับเรามันคือหนังดราม่า) ที่เรียกได้ว่าเป็นหนัง สะท้อนความรัก ที่เห็นได้ ณ ปัจจุบัน และเราเชื่อว่าผู้อ่านบางคนก็ต้องเคยเป็นตัวละครใดตัวละครหนึ่งในเรื่องแน่นอน 500 Days of Summer หนังรักรักโรแมนติกดราม่าที่ครองใจใครหลาย ๆ คน
พูดถึงเรื่องราวความรักของ ‘ทอม’ หนุ่มนักแต่งกลอนบนการ์ดอวยพรที่มีดีกรีสถาปัตย์ กับสาวสวยน่าค้นหาผู้ไม่เชื่อในรักแท้อย่าง ‘ซัมเมอร์’ทอมและซัมเมอร์ทำงานที่เดียวกัน อีกทั้งทอมยังแอบปลื้มซัมเมอร์มานาน ก็ตามฟอร์ม ดอกฟ้าที่หมายปองดันแอบสนใจพ่อหนุ่มตัวเล็ก ๆ แต่เรื่องราวความรักมันมักไม่จบแบบแฮปปี้สองคนครองคู่รักนิรันดร์น่ะสิ ก็อย่างว่า ชีวิตจริงไม่ได้สมหวังดั่งใจ เหมือนหนังโรแมนติกทั่วไปที่เราดูนิเนอะ
ทุกครั้งที่เราดูหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราได้คิดอะไรหลายอย่างในแง่มุมความรักเพิ่มขึ้นตลอด จำได้เลยว่าครั้งแรกที่ดูไม่ชอบซัมเมอร์เอามาก ๆ ไม่เข้าใจและหงุดหงิดที่ดูเหมือนเธอจะโลเล และทำร้ายพระเอกตลอดเวลา รอบสองดู เราเริ่มมีความคิดที่เริ่มเข้าใจนางเอกทีละเล็กละน้อย จนมาถึงไม่นานมานี้ดูอีกครั้ง เราเลยเข้าใจความเป็นจริงของหนังมากขึ้น
หนังคอยบอกเราเสมอว่าบางครั้งความรักมันไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาหรอก มันเป็นแค่เรื่องจังหวะในชีวิต จังหวะที่คนสองคนมาเจอกัน ที่เราสนใจในกันและกัน และลองแลกเปลี่ยนพื้นที่ส่วนตัวให้กันและกัน ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา ไม่จำเป็นต้องรีบและไม่ต้องผูกมัด ลองใช้ความรู้สึกทีละเล็กละน้อยค่อยซึมซับซึ่งกันและกัน
หากมันใช่ เวลานั้นมันจะตอบได้เอง แต่ใช่ในนี้ไม่ใช่แบบคนในฝัน แต่มันคือใช่ในเรื่องความรู้สึก อีกเรื่องที่หนังคอยบอกเราคือเมื่อถึงจุดที่ต่ำสุดเรื่องความรัก สิ่งเดียวที่ควรทำคือยอมรับความจริง
ถึงแม้มันจะยาก แต่มันจะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรและเพราะอะไร สุดท้ายแล้วหนัง สะท้อนความรักเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นจริงในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในมุมของทอม หรือ ซัมเมอร์ สุดท้ายแล้วมันจะตอบเราเองว่า มันคือความรักจริง ๆ ของเราใช่รึเปล่า
เรื่องที่ 3: Marriage Story (คลิกเพื่อรับชม)
คะแนนที่ได้จาก IMDB: 7.9 / 10
ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 2 ชั่วโมง 17 นาที
อีกหนึงหนัง สะท้อนความรักคุณภาพ ที่เรียกได้ว่ามีดีกรีเข้าชิงรางวัลออสการ์ และลูกโลทองคำมาแล้ว บอกเลยว่าไม่ว่าจะเป็นบท มุมกล้อง หรือแม้กระทั่ง Storytelling ต่างๆ ทุกอย่างคือดีหมด! Marriage Story เรื่องราวพูดถึงเหตุการณ์และการตัดสินใจของ “นิโคล” ที่อยากจะขอหย่ากับสามีของเธอ “ชาลี” ในห้องรับคำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่กับนักบำบัด โดยนิโคลเป็นนักแสดงละครเวทีให้กับโรงละครที่ชาลีเป็นผู้กำกับอยู่
แต่ทว่ายิ่งอยู่กันไป ยิ่งรู้สึกถึงความสุขน้อยลง ทั้งคู่จึงตัดสินใจว่าหย่า เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และใช้ชีวิตใครชีวิตมันตามที่ฝันที่วาดเอาไว้ แต่ทว่าในการหย่านั้น มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนแต่ง ทำให้ทั้งคู่ต้องผ่านเรื่องราวและนึกย้อนถึงความสุขที่ตนเคยมีมา
เราขอบอกเลยว่าถึงแม้เราจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่สำหรับหนังรักที่ควรดู แนะนำเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ทำให้เราเศร้า ร้องไห้ เหมือนอกหักหนักมาก ไม่ใช่เพราะเสียใจกับเรื่องราวความรักที่จบลง แต่ร้องไห้เพราะเข้าใจถึงความรู้สึกของตัวละครทั้งสอง เพราะก่อนที่คนเราจะมาถึงจุดนี้ จะต้องผ่านเรื่องราวและความรู้สึกต่างๆ มากมาย ในทุกคู่จะต้องมีผู้นำและผู้ตาม
โดยเรื่องนี้ สื่อให้เห็นความหายของคำเหล่านี้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่ทำให้เราอินกับบทได้ง่ายๆ คือ เทคนิคการถ่ายทำให้เราอินและสัมผัสความรู้สึกของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายสิ่งที่หนังต้องการบอกกับเราเลยคือ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราไม่มีกันและกันแล้ว แต่หน้าที่หนึ่งที่เราจะละทิ้งไปไม่ได้เลยคือ การรักษาหนังที่ของการเป็นพ่อและแม่ที่ดี เพื่อให้การตัดสินใจของผู้ใหญ่สองคน ไม่กระทบเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้รับรู้อะไรเลย
เรื่องที่ 4: Nevertheless (คลิกเพื่อรับชม)
คะแนนที่ได้จาก IMDB: 7.6 / 10
ประเภท: ซีรีส์
ความยาว: 1 ซีซั่น
และหนัง สะท้อนความรัก เรื่องต่อไปคงหนีไม่พ้น Nevertheless ที่กำลังฮอตฮิตแบบสุดๆ เป็นซีรีส์เกาหลีที่มี Rate 19+ ในการเข้าถึง โดยเป็นซีรีส์ที่ remake จากบทของการ์ตูนชื่อดังบน Naver Webtoon (LINE WEBTOON) ในชื่อภาษาไทยที่ว่า รักนี้ห้ามไม่ได้
เป็นเรื่องราวชีวิตความรักที่ไม่ใช่วัยใส แต่เป็นวัยที่จะเริ่มเข้าสู่ผู้ใหญ่ของหญิงสาวที่เสียใจและผิดหวังจากความรักอย่าง ยูนาบี (ฮาน โซฮี) เธอเป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของเอกศิลปกรรม ในวันที่เธอสิ้นหวังกับความรัก ที่ไม่เป็นไปดั่งใจและรู้สึกเจ็บช้ำเหลือเกิน
เธอตัดสินใจไปที่ผับแห่งหนึ่ง และบังเอิญเจอชายหนุ่มที่เข้ามาทักเธอโดยไม่ตั้งใจอย่าง พัคแจออน (ซงคัง) ด้วยสายตาและท่าที ทำให้เธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์ และนี่คือที่มาของ “ความรักที่ห้ามไม่ได้ของเธอและเขา”
เอาหล่ะสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เรียกได้ว่าตอนแรกที่เราเข้าไปดูนั้น แทบไม่ได้คาดหวังอะไรกับเนื้อเรื่องเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะคิดเสมอว่าหนังรักเกาหลีก็คงหวานๆ ทั่วไป แต่! เมื่อได้ดูไปเรื่อยๆ แล้วนั้น กลับรู้เลยว่าเป็นซีรีส์ที่สะท้อนความรักที่เราสามารถจับต้องและเห็นได้ในชีวิตประจำ กับความรักที่เหมือน Toxic Relationship ได้เป็นอย่างดี
บางครั้งความรักมันไม่ได้มีแต่ความสุข เริ่มต้นด้วยความรักเสมอไป ใช่แหละ ความรักมักเกิดขึ้นจากแรงดึงดูด และความรู้สึกดีบางอย่าง แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการเสพยาเสพติด มักเกิดจากอารมณ์ที่อ่อนไหว และอยากลิ่มลองมันซักครั้ง สุดท้ายเมื่อติดแล้วก็ยากที่จะออก รู้ทั้งรู้ว่าหากเราอยู่กับมันต่อไป จะเป็นพิษต่อใจ แต่ก็เลือกที่จะอยู่ สุดท้ายก็ปล่อยเลยเถิดจนใจมันพัง และก็พาให้ทุกอย่างพังตามไปด้วย
เรื่องที่ 5: Feel Good (คลิกเพื่อรับชม)
คะแนนที่ได้จาก IMDB: 7.5 / 10
ประเภท: ซีรีส์
ความยาว: 2 ซีซั่น
ต่อมาเป็น หนัง สะท้อนความรัก แนว LGBTQ+ ที่ทำให้เราไม่ได้นอนกันบ้างเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่คุ้มค่า คุ้มเวลาที่ได้ดู เพราะมันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความรักที่ไร้เพศ แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตคู่ที่จำเป็นต้องมีด้วยเช่นกัน
Feel Good ซีรีส์ Netflix ที่พูดถึง เม หญิงสาวที่อพยพมาจากแคนาดา เธอประกอบอาชีพเป็นเดี่ยวไมโครโฟนอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่ง จนในวันหนึ่งเธอกำลังแสดงอยู่ก็ได้ถูกเสียงหัวเราะเล็กๆ เสียงเดียวจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า จอร์จ เธอเป็นผู้ชมเพียงคนเดียวที่หัวเราะให้กับมุกตลกของเธอ
จนทำให้ทั้งคู่เจอกันและสานสัมพันธ์ จนเขยิบกลายเป็นแฟน วันเวลาผ่านไป เมได้ย้ายไปอยู่อพาทเม้นต์เดียวกับจอร์จ แต่ทว่ายิ่งเหมือนใกล้กันมากเท่าไร ทั้งคู่ก็ยิ่งไกลกันมากเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เราชอบในตัวซีรีส์เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นตัวละครอย่างเม ทำให้เราได้รู้จักความรักที่ไม่มีคำว่าเพศมาเกี่ยวข้อง เม เป็นตัวละครที่ไม่เคยบอกว่าตนเองชอบผู้หญิง หรือผู้ชาย ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นหญิงที่รักหญิง แต่เธอก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นชายหรือดูแมนขนาดนั้น
เธอยังคงมีความรักสวยรักงาม และอยากเป็นตัวของตัวเองอยู่
และสิ่งที่ทำให้เราประทับใจไปกว่านั้นคือ ซีรีส์เรื่องนี้สะท้อนให้ความเป็นจริงของการอยู่ด้วยกัน และการมีความรักรูปแบบผู้ใหญ่ ที่ไม่ได้มองแค่เรื่องความรักเพียงอย่างเดียว เมื่อเราโตขึ้น รัก ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ความรักอาจจะไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ความรักมีส่วนประกอบอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว ทัศนคติ และการเติบโตร่วมกัน มันต้องมองลึกลงไปกว่าคำว่ารักด้วย
Photo Credits:
Stay connected