สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีหนังเข้าใหม่ใน NETFLIX อย่างเรื่อง OXEGEN ที่เรียกได้ว่าเมื่อเข้ามาแล้วไม่ถึงวีคก็ติด TOP 10 ไปเป็นที่เรียบร้อยเลยทีเดียว ด้วยความที่เป็นคนชื่นชอบหนังลุ้นระทึกหรือแนว Thriller อยู่แล้ว เลยอยากแบ่งปันลิสต์หนังดีๆ ลุ้นระทึกในแบบเดียวกันให้สาวๆ ได้ลองดูกันกับ เอาใจสายลุ้น ชอบความตื่นเต้น! ” 5 หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ “ ที่ไม่เหมาะกับคนกลัวที่แคบ บอกเลยว่าใครที่เป็นสายลุ้นไม่ควรพลาด แต่คนที่ไม่ชอบที่แคบ อาจจะไม่จอยน์ก็เป็นได้ค่า และจะมีเรื่องอะไรกันบ้างไปดูกันเลย

 

เอาใจสายลุ้น 5 หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ ที่ไม่เหมาะกับคนกลัวที่แคบ

 

เรื่องที่ 1: Buried (2010)

ระดับความอึดอัด: 5 / 5
สถานที่เกิดเหตุ: ในโลงไม้ขนาดพอดีตัว

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบเรื่องแรกที่อยากแนะนำ อีกทั้งยังเป็นเรื่องแรกที่ติดโผและขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งในหัวเลยก็ว่าได้ อย่างเรื่อง “Buried” บอกเลยว่า หนังเรื่องนี้เหมือนจะลงทุนต่ำอีกทั้งยังใช้นักแสดงที่เรียกได้ว่าทั้งเรื่องมีอยู่คนเดียวอย่าง Ryan Reynolds บอกเลยว่าเขาเหมือนนักแสดงหลักที่แบกความกดดันตลอดทั้งเรื่องเอาไว้ ตลอดระยะเวลาความรู้สึกกดดันที่ดูนั้น ไม่มีหล่นหายไปเลยตั้งแต่วินาทีแรก กราฟความอึดอัดเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงฉากสุดท้ายเลยทีเดียว

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

Buried เป็นหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ ที่พูดถึงพอลทหารสหรัฐอเมริกาที่ไปเฝ้าระวางและทำการรบที่อิรัก แต่ในขณะที่เขากำลังปฏิบัติการอยู่นั้น เขาถูดกลุ่มทหารอิรักเข้าโจมตีจนสลบไป
และฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่ในกล่องไม้ ที่ดูเหมือนจะเป็นโลงศพขนาดพอดีตัว พร้อมมีไฟแช็คและโทรศัพท์มือถือที่ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณเอาไว้ สิ่งที่เขาทำได้คือ การพยายามติดต่อกับคนภายนอก พร้อมพยายามหาทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้

 

เรื่องที่ 2: 127 Hours (2010)

ระดับความอึดอัด: 5 / 5
สถานที่เกิดเหตุ: ซอกหินริมหน้าผา

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

บอกก่อนเลยว่าหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริง อีกทั้งยังเป็นหนังที่เรียกได้ว่าเหมือนฝันร้ายและเป็นเหตุการณ์ที่เหล่านักปีนหน้าผาหรือปีนเขาไม่อยากพบเจอเป็นที่สุด เพราะการฝ่าความกดดันและความท้าทายของหน้าผาหรือเนินเขาที่สูงชันนั้นเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและหาอะไรมาเทียบไม่ได้ของนักปีนเขา แต่ทว่าการที่ตนเองจะต้องตกหรือหล่นลงไปในบริเวณหน้าผานั้น ไม่ใช่เรื่องดีอีกทั้งอาจสร้างรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ทางจิตใจให้กับความฝันของตนเองเสียด้วยซ้ำ

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

127 Hours เป็นหนังเอาเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ ที่เป็นพื้นที่แคบที่สวยและตระกาลตาที่สุดในบรรดาทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ เพราะสถานที่ที่ติดอยู่นั้นคือ ซอกหินผา โดยสร้างมาจากเรื่องจริงของนักปีนเขาและหน้าผาชื่อดังอย่าง แอรอน รัลสตัน ซึ่งเหตุการณ์นี้ พูดถึงการเอาตัวรอดของเขาในขณะที่เขาไปสำรวจภูเขาในวันหยุดเป็นปกติในชีวิตของเขา แอรอน ทำอาชีพเป็นวิศวะกร ซึ่งงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบนั่นก็คือ การปีนเขาและสำรวจหน้าผา ในวันหยุดช่วงหนึ่ง เขาก็ตั้งใจจะไปสำรวจภูเขาและหน้าผาตามความชอบของเขาปกติ

แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินทางไปสำรวจร่องภูเขาในที่แห่งหนึ่งนั้น จู่ๆ เขาก็เกิดอุบัติเหตุคว้าก้อนหินห้อนหนึ่ง ที่คิดว่าเป็นที่ยึดได้ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหินก้อนนี้ดันเคลื่อน เป็นเหตุทำให้เขาร่วงลงไปในร่องภูเขาซึ่งเป็นที่ลับตาคน และอับสัญญาณ มิหนำซ้ำก้อนหินนั้นยังทับที่แขนข้างขวาของเขาอีก สิ่งที่แอรอนสามารถทำได้คือ การมีสติ และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขามีชีวิตรอดออกไปจากซอกหินนี้

บอกเลยว่าความประทับใจของหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกคนละฟีลกับ Buried ในส่วนของ Buried นั้นส่วนตัวเรามองว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างอึดอัดไม่น้อย ด้วยสถานที่ที่มืดและแคบ แต่ทว่าสำหรับหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ เรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ซึ่งมันยิ่งทวีคูณความตื่นเต้น
ลุ้นระทึก พร้อมด้วยความรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามถ่ายทอดกับเรานั้น ไม่ใช่แค่ความลุ้นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการมีสติและพยายามคิดบวกในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุด

 

เรื่องที่ 3: Devil (2010)

ระดับความอึดอัด: 4.5 / 5
สถานที่เกิดเหตุ: ในลิฟต์

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

จะเป็นอย่างไรเมื่อทุกครั้งที่ไฟดับ จะมีคนตายหนึ่งคน และนี่ก็คือหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ เรื่องถัดไป เป็นหนัง Survival, Thriller, Horror ที่มีคติธรรมและข้อคิดในเชิงศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องได้ว่าน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้

หากสาวๆ คนไหนที่ชื่นชอบหนังแนวสยองขวัญหน่อยๆ ระทึกขวัญนิดๆ เราขอแนะนำเรื่องนี้เลยค่า เพราะเป็นเรื่องราวการเอาตัวรอดและหาว่า 1 ใน 5 คนที่อยู่นั้น ใครคือ ปีศาจที่แท้จริง โดยเรื่องราวพูดถึงตำรวจหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งนึกย้อนถึงเรื่องราวในอดีตกับความสูญเสียภรรยาและลูกที่รักของเขาไป

แต่ทว่าในขณะที่เค้าพยายามทำใจและปล่อยวางกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ก็มีคดีที่เขาต้องไปทำ นั่นก็คือการเกิดอุบัติเหตุของแขกในโรงแรมทั้งหมด 5 คนที่ติดอยู่ในลิฟต์ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจคือ ในทุกๆ ครั้งที่ไฟตกนั้น จะมีผู้เสียชีวิต 1 คน พระเอกของเรื่องต้องค้นหาว่าใครคือฆาตกร ส่วนคนในลิฟต์ ต้องทายและจับปีศาจตัวจริงให้ได้

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

สิ่งที่ทำให้เราประทับใจกับหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ เรื่องนี้แน่นอนอย่างแรกคือความสนุก ลุ้นและสัมผัสถึงความสยองขวัญเล็กๆ ที่ได้จากเรื่อง และสิ่งที่ประทับใจมากๆ เลยคงหนีไม่พ้นตอนจบและการตัดสินใจของตัวละครอย่างพระเอกของเรื่อง มันทำให้เรารู้และเข้าใจได้ดีว่า
“เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร” อีกทั้งการให้ที่มีค่าที่สุด คงหนีไม่พ้นการให้อภัย หากสาวๆ คนไหนชื่นชอบหนังแนวปรัชญาที่มาพร้อมความลุ้นระทึกเล็กๆ ของแนะนำเรื่องนี้เลยค่า

 

เรื่องที่ 4: 12 Feet Deep (2017)

ระดับความอึดอัด: 4 / 5
สถานที่เกิดเหตุ: สระว่ายน้ำ

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

เป็นหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ เรื่องหนึ่งที่สร้างจากเรื่องจริง อีกทั้งรู้สึกว่าเป็นหนังที่ตัวละครของเรื่องโค-ตะ-ระ ซวย แบบซวยซ้ำ ซวยซ่อน ไม่เพียงแค่นั้น ยังรู้สึกเหนื่อยไม่แพ้กับเรื่องอื่นๆ เลยก็ว่าได้ 12 Feet Deep เป็นเรื่องราวของสองพี่น้อง บรีและจอนน่า

โดยสองพี่น้องคู่นี้มีความชื่นชอบการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ แต่ทว่าบรีป่วยเป็นโรคเบาหวานและไม่ได้บอกกับที่บ้าน ด้วยความที่กลัวว่าพี่สาวของตนจะเป็นห่วง วันนี้ทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ก็ว่ายน้ำเล่นอย่างมีความสนุก แต่เจ้าของสระก็ได้เดินเข้ามาและบอกว่า เป็นเวลาที่สระใกล้ปิดแล้ว ให้รีบออก ทั้งคู่เลยตัดสินใจที่จะกลับบ้าน แต่ในขณะที่กำลังจะเก็บของนั้น พี่สาวของเธอก็ได้ทักว่าแหวนหวั้นของเธอหายไปไหน และเป็นจังหวะที่สังเกตเห็นพอดีว่ามีอะไรระยิบระยับอยู่ใต้สระ ทั้งคู่จึงดำและงมไปเพื่อจะเก็บแหวนขึ้น

แต่ทว่าผมของจอนน่า ดันไปพันและติดในท่อสระ บวกกับเจ้าของสระเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในสระและบริเวณสระแล้วจึงทำการปิดประตูครอบสระเสีย เมื่อทั้งคู่โผล่หัวขึ้นมาเหนือน้ำก็พบว่าตนเองถูกประตูครอบสระปิดไว้เสียแล้ว ทั้งคู่จึงต้องหาทุกวิถีทางที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ให้ได้

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้มีความลุ้นเป็นทุนเดิม ตาม Concept ของหนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีอะไร ก็คงหนีไม่พ้นสถานการณ์ความซวยต่างๆ ที่ทั้งคู่ต้องเจอ บอกเลยว่าทำเอาคนดูอย่างเราท้อใจไม่สู้ไปตามๆ กัน

 

เรื่องที่ 5: Oxegen (2021)

ระดับความอึดอัด: 3.5 / 5
สถานที่เกิดเหตุ: เครื่องอะไรซักอย่างแคบๆ ขนาดพอดีตัว

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบในเรื่องสุดท้าย และเรื่องนี้จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจาก Oxegen โดยมีเรื่องราวที่พูดถึง หญิงสาวคนหนึ่งที่ตื่นมาด้วยท่าทีที่มึนงง และตระหนกตกใจ พร้อมกับรับรู้ได้ว่าตนอยู่ในเครื่องอะไรซักอย่าง โดยคิดว่าการที่เธอมาอยู่ในนี้ได้ ต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแฝงอยู่แน่นอน ในขณะที่เธอกำลังพยายามสำรวจสิ่งรอบกายของเธอ เธอก็รู้ได้ว่าเครื่องที่เธออยู่นั้น เป็นเหมือนเครื่องที่มีระบบปฎิบัติการ AI ที่มีชื่อว่า มิโล่ ทำงานอยู่

แต่ทว่าในขณะที่เธอกำลังติดต่อสื่อสาร สำรวจ พร้อมหาทางออกจากเครื่องนี้ เธอก็รับรู้ได้ว่าปริมาณออกซิเจนที่อยู่ในเครื่องนี้เหลือไม่กี่เปอร์เซ็นต์ หากเธอหาทางออกไม่ได้หรือไม่สามารถทำให้ปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้นได้นั้น เธอจะตาย ดังนั้นหน้าที่ของเธอคือ หาคำตอบว่าเธอคือใคร, เธอมาอยู่ในนี้ทำไม และใครเป็นคนส่งเธอเข้ามาเพื่อจุดประสงค์อะไร ผ่านการช่วยเหลือของมิโล่ และการฟื้นฟูความทรงจำของเธอ

หนังเอาชีวิตรอด ในพื้นที่แคบ

สิ่งที่หนังทำให้เราลุ้นไปกับหนังเอาตัวรอด ในพื้นที่แคบเรื่องนี้ นอกจาก Concept การเอาตัวรอดแล้วนั้น คือ ปมและปริศนาของตัวละครที่ว่า เธอคือใคร, สิ่งที่เธออยู่ใน ณ ที่นี้คืออะไร และ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแค่นั้น หนังเรื่องนี้ยังสร้างแรงกดดัน อย่างการหมดของออกซิเจนที่ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ เปรียบเสมือนการสร้างแรงกดดันให้กับสถานการณ์เพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังเอาตัวรอดอย่างอื่น คงหนีไม่พ้นการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง

ไม่ว่าจะเป็น AI ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์, ชีวิภาพ หรือความรู้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ดูเหมือนการเอาตัวรอดของตัวเอกจะง่ายขึ้น (แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้น)
หากถามถึงความสนุก ส่วนตัวเราก็ว่าหนังเอาตัวรอดในที่แคบเรื่องนี้ ค่อยข้างสนุกใช้ได้เลยทีเดียว สิ่งที่ชอบมากที่สุดของเรื่องคงหนีไม่พ้นภาพ Visual Effect ต่างๆ ที่สวยตระกาลตา และเรียกได้ว่างานดีสุดๆ

แต่สิ่งที่น่าเสียใจไปอย่างนึงก็คงเป็นพล็อตเรื่องที่ดูเหมือนไม่ค่อยแตกต่างจากหนังแนวเดียวกันเสียเท่าไร อีกทั้งปมบางอย่าง เหตุผลบางอย่างในเรื่องดูไม่ค่อย Make Sense และที่มาที่ไปไม่ค่อยชัดเจน ทำให้ความ Smooth และความลื่นไหลของเรื่องแอบหายไปเสียเล็กน้อย แต่เอาเป็นว่าโดบรวมก็ยังใช้ได้อยู่ ที่สำคัญเลยหากใครยังไม่ได้ดู อย่าได้รู้สปอยล์ของเรื่องเชียวมิเช่นนั้นความว้าวและความสนุกจะหายไปทันที

 

Photo Credits:

Comments

comments