สวัสดีค่ะสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เราเชื่อว่าคงมีคนหลายคนชื่อชอบหนังหรือซีรีส์ที่ดราม่าเรียกน้ำตา แต่ทว่าสาวๆ รู้ไหมคะว่า นอกจากหนังหรือซีรีส์ที่มีคนแสดงแล้วนั้น ยังมีอนิเมะจากญี่ปุ่นดีๆ อีกหลายเรื่องที่สร้างความสุข ตอกย้ำความเศร้า และเรียกน้ำตาให้กับเราได้เสมอ
และวันนี้ Clubsister เลยขอเสนอ “5 อนิเมะเรียกน้ำตา ใครว่าการ์ตูนดราม่าดูแล้วไม่อิน!” บอกเลยว่านอกจากบท เนื้อเรื่อง วิธีการเล่าเรื่องแล้ว เพลงประกอบของเรื่องก็ดีไม่ต่างกันอีกด้วย
อย่ารอช้าไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
“5 อนิเมะเรียกน้ำตา ใครว่าการ์ตูนดราม่าดูแล้วไม่อิน!”
เรื่องที่ 1: 5 Centimeters per second (2007)
คะแนนได้จาก IMDb: 7.6 / 10
“ใคร ๆ ก็ว่าเวลาล้วนจะช่วยเยียวยาบาดแผลทุกสิ่ง แต่สำหรับแอนิเมชั่นเรื่องนี้ เวลาไม่ใช่สิ่งที่คอยเยียวยาแต่เป็นเพียงเครื่องต่อเวลาความเจ็บปวดภายในจิตใจเท่านั้นเอง” อนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องนี้แบ่งย่อยเป็นสามช่วงคือ ‘เสี้ยวดอกซากุระ’ ความรู้สึกที่ว่าความสุขนั้นมักผ่านไปเร็วเสมอ มันรวดเร็วราวกับเสี้ยวหนึ่งที่ดอกซากุระร่วงหล่นจากต้นลงสู่พื้นดิน เรื่องราวของเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่ต้องพลัดพรากจากกันโดยมีระยะเวลาและระยะทางเป็นอุปสรรค สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือการจดจำช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นไว้ในใจเขาตลอดไป รวมถึงคำมั่นสัญญาที่เป็นเหมือนแผลแทงใจใครอีกหนึ่งคน หลังที่เราดูพาร์ทนี้จบไปอาการหน่วงเริ่มมา ความไม่เข้าใจเริ่มเกิดขึ้นในหัว คิดอยู่เสมอว่าทำไมโชคชะตาถึงเล่นสนุกกับความรู้สึกคนได้มากขนาดนี้นะ
‘นักบินอวกาศ’ เป็นช่วงของการเจริญเติบโต พาร์ทนี้จะเล่าถึง ‘ซุมิดะ’ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อของ ‘ทะกะกิ’ ซึ่งพาร์ทนี้จะเล่าความรู้สึกผ่านเวลาของซุมิดะที่มีต่อ ทะกะกิ เป็นเรื่องราวในช่วงที่ทะกะกิย้ายไปโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ ซุมิดะแอบหลงรักทะกะกิตั้งแต่แรกเห็นแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้ สิ่งที่เธอทำได้นั้นเป็นเพียงแค่การอยู่ข้าง ๆ แบบเพื่อนและคอยดูแลใส่ใจแบบห่าง ๆ เธอหวังเพียงแค่ว่าเขาจะมองเห็นเธอสักครั้งหนึ่ง แต่สิ่งที่เธอเห็นอยู่ในทุกวันนั้นกลับเป็นสายตาของเขาที่เหม่อลอยออกไปบนท้องฟ้าเหมือนกับเขาล่องลอยไปในอวกาศ จากพาร์ทนี้ เราว่าเป็นเรื่องราวและความรู้สึกที่ใครหลายคนเคยเป็น มันมีความสุขนะที่ได้เฝ้ามอง
แต่ถามว่ามันสุขแบบสุดลึกของหัวใจไหมก็คงไม่ ใบหน้าที่เฝ้ามองเขาแล้วเราก็ได้แค่ยิ้ม แต่ลึก ๆ แล้วยังคงต้องการให้เขารู้และคิดเหมือนกันก็คงดี ‘5 เซ็นติเมตร ต่อวินาที’ พาร์ทนี้คงเป็นพาร์ทที่ทำเราจุกและหน่วงที่สุด เรื่องราวบทสุดท้ายของ ‘ทะกะกิ’ กับความรู้สึกที่ยังคงค้างคาใจติดกับคำมั่นสัญญาและเวลาที่วนเวียนในชีวิตของเขา ฤดูใบไม้ผลิวนกลับมาอีกครั้งแต่สิ่งที่ยังอยู่เหมือนเดิมคือความรู้สึกที่ยังคงรักและโหยหาอากะริอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาไม่เป็นอันทำอะไรจนเขาเสียการเสียงาน จนสุดท้ายขีดจำกัดของช่วงเวลาทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ยึดติดอยู่ในใจตลอดเวลาเป็นเหมือนสิ่งที่คอยหลอกหลอนตัวเขาไปวัน ๆ เพียงเท่านั้น
เรื่องที่ 2: A Slient Voice (2016)
คะแนนได้จาก IMDb: 8.1 / 10
“ความรักหรือเรื่องราวดีๆ มักเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเราเริ่มเปิดใจรับฟังเสียงของคนอื่น และ ทำตามเสียงของหัวใจตัวเองอย่างซื่อตรง” อนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องต่อไปนี้ หน่วงไม่แพ้เรื่องได้บนเลยก็ว่าได้ โดยชื่อในภาษาญี่ปุ่นมีชื่อว่า “Koe no katachi” หรือในชื่อภาษาไทยที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์คือ “รักไร้เสียง” A Silent Voice เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มอิชิดะ โยโช หนุ่มน้อยวัยประถมที่เป็นเด็กสนุกสนานร่าเริง เป็นที่รักของเพื่อนๆ ในห้อง มีอยู่วันหนึ่งมีเด็กนักเรียนใหม่
เป็นเด็กสาวน่าตาน่ารักชื่อว่า นิชิมิยะ โชโกะ เธอย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนประถมห้องเดียวกับโชโย
แต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มและน่ารักของเธอนั้น เธอซ้อนเรื่องราวความลับที่สร้างความลำบากใจให้เธอเป็นอย่างมาก กับการที่เธอเป็นผู้พิการทางด้านการได้ยิน เธอต้องใส่เครื่องช่วยฟังตลอดเวลา แต่ไม่สามารถพูดเหมือนเด็กทั่วไปได้ นั่นเลยทำให้เธอเป็นเหมือนตัวประหลาดในห้อง และโดนคนอื่นๆ แกล้ง รวมถึงโชโยก็คอยกลั่นแกล้งเธอด้วยเช่นกัน เริ่มจากเรื่องเล็กๆ จนลามไปถึงการทำร้ายร่างกายเธอโดยไม่ตั้งใจ
แต่ในที่สุดโชโกะก็ไม่สามารถกลับมาเรียนได้ นั่นจึงเป็นจุดแตกหักที่ทำให้โชโยกับเพื่อนแตกหักกัน และโชโยจึงกลายเป็นแพะที่รับผลกรรมที่ทุกคนร่วมกันก่อ ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ตัวเขาเป็นมีรอบแผลเป็นขนาดใหญ่ในจิตใจ แบกรับความปิดและความเจ็บปวดต่อไปเรื่อยๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป โชโย เข้ามัธยมปลาย เขาตั้งใจเรียนภาษามือว่าเผื่อซักวันเขาจะได้กล่าวคำทักทายและขอเป็นเพื่อนกับโชโกะอีกครั้ง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของมิตรภาพและความรัก
สิ่งที่ชอบในอนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นสิ่งที่เนื้อเรื่องต้องการจะสื่อหรือสะท้อนมันออกมาให้เห็น ไม่ใช่แค่เรื่องความน่าสงสารของเรื่องการ Bully แต่แก่นสำคัญของเรื่องที่ต้องการจะบอกอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ หากพูดถึงเสียงอย่างแรกคือตัวละครนางเอกที่ไม่สามารถพูดได้ ไม่สามารถได้ยินได้เหมือนคนอื่นเขา แต่เธอมีคำพูดมากมายในใจ ที่อยากจะบอกกับคนอื่นให้ได้รับรู้ ความรู้สึกของเธอบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า ความโกรธหรืออะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเมื่อเธอไม่สามารถทำอะไรได้ และเป็นผู้ถูกกระทำ เธอมักจะขอโทษคนอื่นและคิดแค่ว่าเพราะตัวเธอเป็นแบบนี้เธอเลยผิด
ส่วนเรื่องของเสียงในส่วนที่สอง หลังจากที่พระเอกของเรื่องโชโย ได้เคยรังแกนางเอกจนต้องออกจากโรงเรียนไป และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั้น ทำให้ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่กล้ามีเพื่อนหรือไม่กล้าสู้หน้าใครๆ เลยซักคน และนั่นทำให้เขาปิดหูปิดตา ไม่รับฟังเสียงของใครๆ นอกจากตัวของเขาเอง เขาเลือกที่จะทำตามใจเขาเอง จนบางทีก็หลงลืมความสุขไปช่วยขณะหนึ่ง สุดท้ายแล้วอนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สะท้อนให้เห็นการเป็นเพื่อนที่ดีอาจจะเริ่มจากการรับฟังผู้อื่นและรับฟังเสียงของหัวใจตัวเองบ้างก็เท่านั้นเอง
เรื่องที่ 3: Grave of the fireflies (1988)
คะแนนได้จาก IMDb: 8.5 / 10
“มันคงจะดีซะกว่าถ้าเราปล่อยให้เหล่าแมลงตัวน้อย ๆ ได้โบยบินไปพร้อมแสงไฟที่สวยงามสุกสว่างจากตัวมันเอง โดยปราศจากแสงไฟที่ลุกโชนด้วยความรุนแรงที่เกิดจากสงครามอันเกิดจากเพียงแค่คนไม่กี่คน” อนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องนี้เล่าถึงช่วงเวลาโหดร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หากใครที่เคยดูอนิเมชั่นเรียกน้ำตาเรื่องนี้คงจะรู้ว่าการสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างไม่มีวันกลับคืนมาและในช่วงเวลาเดียวกันเราไม่สามารถปกป้องและดูแลเขาได้นั้นมันทรมานมากแค่ไหน แต่สิ่งที่กัดกินหัวใจคนดูนั้นไม่ใช่แค่เรื่องราวการสูญเสียน้องสาวอันเป็นที่รักไปเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสะท้อนภาพการสูญเสียบ้านเมือง, ผู้คนล้มตาย, ความยากไร้อันเกิดมาจากความขัดแย้งของผู้ใหญ่เพียงจนก่อเกิดเป็นสงครามที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก
เราสัมผัสได้ถึงความรุนแรงและความยากลำบากของผู้คนเพราะยุคสมัยที่เกิดสงคราม
หากจะถามถึงเรื่องการเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันคงยากที่จะได้เห็น เพราะสิ่งที่มันยากไร้หรือหาได้ยากนั้นไม่ใช่อาหารหรือที่พักอาศัย แต่เป็นน้ำใจและความเมตตาที่มันได้หายไปหมดแล้ว เพราะดูได้จากการเอาตัวรอดของเซตะที่เข้าไปอาศัยในบ้านของป้าที่เป็นเหมือนคนในสายเลือดคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเลือกคนในครอบครัว สองพี่น้องจึงเป็นเพียงกาฝากที่วอนขอเศษอาหารและที่อยู่อาศัยเพียงเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่คนพี่จะทำได้คือการออกมาดูแลตัวเองและทำหน้าที่พี่ชายผู้คอยปกป้องและดูแลน้องสาวของเขาให้ดีที่สุด ซึ่งสิ่งที่เราเห็นนั้นคือการที่เขาต้องเสี่ยงชีวิตไปขโมยของและอาหารมาเพื่อดูแลรักษาน้องสาวของเขาที่เป็นโรคขาดสารอาหารจนวันสุดท้าย
เรื่องที่ 4: Your Name (2016)
คะแนนได้จาก IMDb: 8.4 / 10
อนิเมเรื่องน้ำตาเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงของอาจารย์ชินไค เรียกหนึ่งเลยก็ว่าได้ เล่าเรื่องของ ‘ทากิ’ และ ‘มิทซึฮะ’ เด็กหนุ่มและหญิงสาวชั้นม.ปลาย ที่มีความผูกพันโดยไม่เคยเห็นหน้าคร่าตากันมาก่อนเนื่องด้วยทั้งสองจะสลับร่างกันแบบสุ่มวัน ทั้งคู่จึงมีช่องทางการติดต่อผ่านการพิมพ์ไดอารี่ในโทรศัพท์ การเล่าเรื่องที่ดูเหมือนรักใส ๆ ของหนุ่มสาวม.ปลาย การเล่นความหมายของเนื้อเรื่องผ่านวัตถุสิ่งของต่าง ๆ อย่างเช่นการถักด้ายแดงที่เป็นเหมือนพันธนาการของทั้งสองคน รวมถึงการเชื่องโยงความสัมพันธ์ของแต่ละคน ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนเกี่ยวข้องกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าแต่ละเส้นจะมาบรรจบกันอย่างไร ทุกคนก็หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปและต้องมาบรรจบที่เดียวกันอยู่ดี
ดาวตกที่กำลังบอกว่าการเดินทางที่ไม่ว่าอย่างไรอีกคนก็ต้องจบลงและอีกคนก็ต้องเดินทางต่อไปอย่างไร้จุดหมาย การแบ่งครึ่งฉากนางเอกและพระเอกที่ทำให้เรารู้และสัมผัสถึงความผูกพันที่ทั้งคู่มีให้กันถึงแม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน อีกสิ่งที่ประทับใจในแอนิเมชั่นเรื่องนี้คือจังหวะของเพลงและภาพ ต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้จะขาดสีสันไปทันทีถ้าไม่มีเพลงประกอบและจังหวะที่เข้ากันได้ดีอย่างลงตัว ดึงอารมณ์และความรู้สึกที่มันอัดอั้นทั้งหมดออกมาได้อย่างสุดซึ้ง ด้วยเสียงดนตรีที่ให้ความแผ่วเบาในอารมณ์ แต่ในทางกลับกันมันสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความโหยหาคำนึงถึงได้อย่างสุดหัวใจ ดังนั้นเราบอกได้เลยว่าหลังดูจบ หัวใจของคุณจะอบอุ่นและลึกซึ้งไปกับความรู้สึกของอนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เรื่องที่ 5 : Gaden of words (2013)
คะแนนได้จาก IMDb: 7.5 /10
“บางความสัมพันธ์ต้องมีบ้างล่ะที่คนหนึ่งคิดอยากจะเริ่มเดิน แต่กับอีกคนไม่พร้อมที่จะเดินต่อ ดังนั้นมันก็จะต้องจบลงที่ไม่ใครสักคนหนึ่งต้องเดินจากไป หรือแค่วนกลับมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมพร้อมกันอีกครั้ง” และอนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนของเด็กหนุ่ม ‘ทาคาโอะ อากิซุกิ’ เด็กหนุ่ม ม.ปลายที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นช่างทำรองเท้า ในทุก ๆ เช้าวันฝนตก เขาจะโดดเรียนเพื่อมานั่งอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งแถวสวนสาธารณะย่านชินจูกุเพื่อหาแรงบันดาลใจ และนั่งวาดรูปเพื่อฝึกฝนฝีมือของเขา แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้เจอกับหญิงสาวปริศนาที่ไม่ว่าดูยังไงก็คุ้นหน้าคุ้นตา เธอมักจะมานั่งเหม่อที่ศาลาเป็นประจำโดยในมือจะมีเบียร์และช็อคโกแล็ต ทาคาโอะมักจะเห็นแววตาของเธอดูเศร้าไม่ต่างกับสายฝนที่ร่วงโรยอยู่
ณ ตอนนั้นเลยก็ว่าได้ เวลาผ่านไปทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเองเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงฤดูฝนในแววตาของเธออยู่ สุดท้ายทั้งสองคนก็ได้มีคำมั่นสัญญาให้แก่กันว่าจะกลับมาเจอกันอีกทุกครั้งในวันที่ฝนโปรยปราย ตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดมาจนถึงตอนจบหนังให้ความรู้สึกถึงฤดูฝน ท้องฟ้าสีเทา อากาศเย็น และอารมณ์หน่วง ๆ อยู่ตลอดเวลา อาจเพราะหนังถ่ายทอดความรู้สึกของพระเอกออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของพระเอกที่มีให้กับนางเอก ความคิดที่พระเอกอยากรู้ว่านางเอกเศร้าเรื่องอะไร ไม่ต่างจากความอยากรู้ถึงชีวิตเบื้องหลังของเธอ หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดถึงความหน่วงและห้วงอารมณ์ของแต่ละตัวละครออกมาให้เราซึ่งเป็นคนดูได้สัมผัสและเข้าใจถึงจิตใจของแต่ละตัว
แต่สิ่งที่ดีงามของหนังเรื่องนี้มากที่สุดคงหนีเรื่องงานภาพและดนตรีประกอบ ถ้าขาดสองสิ่งนี้เราเชื่อได้เลยว่าอรรถรสในการดูจะลดลงทันที ภาพที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของฤดูฝนออกมาได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสีของใบไม้เขียว กระทบกับหยาดฝนที่ร่วงโรย ทำให้เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของดินที่เปียกชื้น ดนตรีประกอบที่ดึงอารมณ์คนดูให้เข้าไปสู่จุดหนึ่งของอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้งไร้ที่ติ สุดท้ายอนิเมะเรียกน้ำตาเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าบางความสัมพันธ์กับบางคน พบกันเพื่อเพียงสัมผัสความรู้สึกซึ่งกันและกันโดยชั่วคราว เข้ามาเพื่อให้ชื่นใจอยู่ขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องจากกันไปอยู่ดี ไม่ต่างอะไรกับฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เมื่อใดที่ถึงเวลาก็จะได้เวียนวนกลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง
Photo Credit:
- roadsinlife
- filmotomy
- theoddapple
- youtube
- denofgeek
- studioghiblimovies
- sgmagazine
- kwanmanie
- arnondora
Stay connected