สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน อย่างที่รู้ว่ากัน Netflix Streaming ชื่อดังที่พอน้องใหม่อย่าง Disney+ Hotstar มา ความป๊อปของเขาก็เหมือนจะดร๊อปลงเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านได้ประกาศว่ารีเมคซีรีส์ชื่อดังได้เข้าฉายบน Netflix เท่านั้นแหละ เหมือนเป็นการเอาใจแฟนซีรีส์และแฟน Netflix กลับมาได้อีกครั้ง จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้เลย Clubsister ขอ “รีวิว Good Doctor ซีรีส์สายหมอ พร้อม Fullfill จิตใจ บน Netflix” มาดูกันว่ารีเมคซีรีส์เรื่องนี้ทำไมถึงสร้างเสียงฮือฮาและเกาะติด Top 5 ได้เพียงไม่กี่ชั่วคืน
รีวิว Good Doctor ซีรีส์สายหมอ พร้อม Fullfill จิตใจ บน Netflix
เรื่องย่อและที่มา:
The Good Doctor ในเวอร์ชั่นอเมริกานี้ เป็นทีวีซีรีส์ที่ถูกฉายบนช่อง abc ซึ่งถูกรีเมคมาจากบทละครของญี่ปุ่น ที่ถูกนำไปทำเป็นทีวีซีรีส์ของประเทศเกาหลี โดยใช้ชื่อซีรีส์เดียวกัน เนื้อเรื่องพูดถึงนักศึกษาแพทย์ชั้นปีสุดท้าย ที่เป็น Extern หรือในวงการแพทย์เรียกว่า แพทย์ฝึกหัด อย่าง ดร.ชอน เมอร์ฟี่ สาขาศัลยแพทย์ เขาถูกเสนอชื่อพร้อมฝากฝังให้เข้าทำงานในโรงพยาบาลชื่อดัง
จากประธานโรงพยาบาลอย่าง แอรอน กลาสแมน
แต่ทว่าชอน มีปัญหาทางด้านระบบประสาท เขาเป็น Autism หรือที่คนเรารู้จักกันชื่อที่ว่า โรคออทิสติก แต่ใช่ว่าการที่เขาเป็นแบบนี้จะทำให้เขาไม่สามารถรักษาคนไข้ได้ ชอนมีความสามารถในการจำข้อมูลที่เรียกได้ว่ามหาศาลไว้ในคลังสมองของเขา เขาสังเกตและเก็บรายละเอียดต่างๆ ของคนไข้ได้เป็นอย่างดี และแม่นยำเสียยิ่งกว่าเครื่องมือบางเครื่องมือด้วยซ้ำ แต่ทว่าปัญหาหลักของเขาคือการสื่อสารทางสังคมและการระงับอารมณ์ของตน
ด้วยเหตุนี้ทำให้ ดร. กลาสแมน แจ้งกับบอร์ดผู้บริหารและคณะกรรมการทั้งหมดของโรงพยาบาลว่า เขาขอให้ชอนได้เข้าร่วมฝึกเป็นแพทย์ฝึกหัด เป็นเวลา 6 เดือน และกระประเมินของชอนจะต้องอยู่ในระดับขั้นดีมากเท่านั้น หากแม้ชอนมีข้อผิดพลาดอะไรก็แล้วแต่ ทางโรงพยาบาลสามารถไล่ชอน และตัวของเขาเองออกจากที่นี่ได้เลย และนี่คือเรื่องราวของชีวิตศัลยแพทย์ ความเป็นความตาย และการปรับตัว ของทุกคน รวมถึงชอน เมอร์ฟี่ด้วยเช่นกัน
ก่อนจะเริ่มรีวิว Good Doctor ในเวอร์ชั่น อเมริกานั้น เราขอให้สาวๆ ได้ทำความรู้จักกับตัวละครกันก่อน
ตัวละครที่สำคัญในเรื่อง:
ตัวละครที่ 1: Dr. Shaun Murphy รับบทโดย Freddie Highmore
หากใครที่ได้ติดตาม Netflix ในช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเข้าประเทศไทย อาจจะพอคุ้นซีรีส์แนว Psychology thriller เรื่อง “Bates Motel” ที่เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ต้นกำเนิดและต่อยอดมาจากหนังเขย่าขวัญเรื่องดังอย่าง Psycho ในครั้งนี้เขากลับมาพลิกบทบาท และเรียกได้ว่าสร้างชื่อพร้อมคำชมอย่างล้นหลามกับบท คุณหมอชอน เมอร์ฟี่ ศัลยแพทย์หนุ่มที่เป็นออทิสติก เขาถูกพ่อของตนเองฆ่าสัตว์เลี้ยงที่เขารักตายต่อหน้าต่อตา แม่ผู้เป็นที่พึ่งของเขาไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้
ดังนั้นเขาและน้องชายจึงหนีออกจากบ้าน เพื่อดูแลและมีโลกใบใหม่ขึ้นเอง แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ในขณะที่ชอนและน้องชายกำลังเล่นซ่อนแอบในโรงเก็บรถไฟเก่า น้องชายของเขาพลัดตกจากรถไฟเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของ ดร. กลาสแมน และผลันตัวมาเป็นศัลยแพทย์ในที่สุด
ตัวละครที่ 2: Steve Murphy รับบทโดย Dylan Kingwell
อีกตัวละครหนึ่งที่เรียกได้เป็นคนที่จุดประกายความคิด และผู้ที่มีอิทธิพลในการเป็นศัลยแพทย์ของชอน นั่นก็คือ สตีฟ น้องชายเพียงคนเดียวของชอน สตีฟเป็นน้องชายของชอน ซึ่งไม่ว่าชอนจะเจอกับปัญหาอะไร ที่ไหน อย่างไรก็ตาม สตีฟจะคอยช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจให้กับเขาเสมอ
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองหนีออกจากบ้าน และไปพักอาศัยในรถบัสโรงเรียนเก่าๆ สตีฟได้ให้ของขวัญชิ้นหนึ่งกับชอน นั่นก็คือ กล่องของเล่น ของเล่นในนั้นที่ชอนชื่นชอบและพกมันไว้ตลอดเวลาคือ “มีดผ่าตัดของเล่น” ด้วยของเล่นชิ้นที่สตีฟให้ พร้อมด้วยการสูญเสียของเขา ทำให้ชอนตัดสินใจเป็นศัลยแพทย์
ตัวละครที่ 3: Dr. Aaron Glassman รับบทโดย Richard Schiff
ประธานโรงพยาบาลชื่อดัง ที่แต่ก่อนเขาเลี้ยงดูและฟูมฟักชอนมาเป็นอย่างดี เปรียบเสมือนลูกชายของตนเอง เขาสอนและฝากชอนเขาเป็นศัลยแพทย์ในโรงพยาบาลที่ตนดูแลอยู่ โดยตั้งกฏขึ้นมาว่า หากชอนปฏบัติงานไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ หรือมีข้อผิดพลาด เขาจะอนุญาตให้ทางโรงพยาบาลไล่ชอน และตังของเขาเองออกไปได้เลย
ตัวละครที่ 4: Dr. Marcus Andrews รับบทโดย Hill Harper
หัวหน้าศัลยแพทย์ของโรงพยาบาล ที่เรียกได้ว่าเป็นมือขวาและว่าที่ประธานคนใหม่ มาร์คัสเป็นศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญการและหาตัวจับได้ยาก เขามีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล เปิดรับความคิดเห็น และทุกปัญหา
ตัวละครที่ 5: Dr. Neil Melendez รับบทโดย Nicholas Gonzalez
หัวหน้าทีมศัลยแพทย์ประจำบ้าน ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการผ่าตัดอีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ดร.นีลเป็นคู่หมั้นของลูกสาวโรงพยาบาล ที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และเป็นหัวหน้าที่ค่อนข้างจังจริงไม่น้อยเลยทีเดียว บ่อยครั้งที่เขามักใช้อารมณ์กับการทำงาน แต่สุดท้ายก็ยอมรับข้อผิดพลาดของตนและเปิดใจพร้อมที่จะแก้ไขมันอยู่เสมอ
ตัวละครที่ 6: Dr. Claire Browne รับบทโดย Antonia Thomas
(นักเขียนชอบคุณหมอคนนี้) ดร. แครล์ แพทย์ฝึกหัดรุ่นเดียวกับชอน เธอเป็นศัลยแพทย์ที่อยู่ในทีมเดียวกันกับชอน ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ศัลยแพทย์อัจฉริยะ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เก่ง แครล์เป็นคุณหมอที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี เข้าใจจิตใจผู้ป่วย รู้จักการปลอบและใช้คำพูดเพื่อเยียวยาจิตใจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้จากเหตุการณ์รอบข้างอีกด้วย
ตัวละครที่ 7: Lea Dilallo รับบทโดย Paige Spara
เพื่อนบ้านสาวห้อง 34 เธอเป็นคนจิตใจดี ตลก ยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นสาวที่ทำให้หัวใจชอนหว่าวุ้น
บทความรีวิวและความคิดเห็น:
ก่อนที่จะไปเริ่มอ่านรีวิว ต้องขอสารภาพก่อนเลยว่าเรายังไม่เคยดู The Good Doctor ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น และ เกาหลีเลย ดังนั้นเราจะไม่ขอเปรียบเทียบและพูดถึงความแตกต่างนะคะ The Good Doctor ในเวอร์ชั่นนี้เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ทำเอาเราไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว เป็นซีรีส์ที่ดึงเอาจุดด้อยหรือความ Contrast ของตัวละครขึ้นมาให้เห็นตั้งแต่ต้น อย่างการที่ตัวละครหลักเป็นหมอ แต่ป่วยเป็นออทิสติก เรามั่นใจว่าหากเป็นคนทั่วไป น่าจะเกิดข้อโต้แย้งในหัวว่า “มันจะเป็นไปได้หรอ? เขาสามารถทำงานได้จริงๆ หรอ?” และนี่แหละคือเสียงที่ตัวละครอย่างชอนจะต้องเจอไม่ใช่แค่นอกจอ
แต่ในจอด้วยเช่นกัน สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ต้องการจะบอกเราเลยคือ “อย่าตัดสินใคร โดยที่เรายังไม่ได้ให้เขาพยายาม” ชอนเป็นศัลยแพทย์ที่เรียกได้ว่าเก่ง ฉลาด อัจฉริยะ หาตัวจับได้ยาก แต่ในมุมหนึ่งเขาก็มีข้อบกพร่องอย่างการสื่อสารและการควบคุมอารมณ์ซึ่งสิ่งนี้ คือด่านใหญ่ที่ชอนจะต้องเรียนรู้และก้าวผ่านมันไปให้ได้ ผ่านการทำงานกับคนหมู่มาก
ในทางกลับกันตัวละครที่อยู่ใกล้ๆ ชอนนั้น ก็ต้องเรียนรู้และเก็บเกี่ยวความรู้สึก และประสบการณ์ที่ได้จากเขาด้วยเช่นกัน นอกจากเรื่องความพยายามและความสามารถแล้ว สิ่งที่เราชอบในซีรีส์เรื่องนี้เลย คงหนีไม่พ้นการ Production และความสมจริงต่างๆ บอกเลยว่าเป็นซีรีส์หมอที่ Real สุดๆ ผ่าเป็นผ่า เลือดเป็นเลือด
และนอกจากเรื่องการปรับตัว ความพยายาม เทคนิคการถ่ายทำ Production ใดๆ สิ่งที่หนังมอบให้กับคนดูอย่างเต็มที่สุดเลย คือหนีไม่พ้น ความอิ่มเอมทางอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมิตรภาพ ครอบครัว ความฝัน หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์แบบคู่รัก เรียกได้ว่าเรื่องนี้ขนเอาทุกความรู้สึกและทุกห้วงอารมณ์มาให้เราแล้วจริงๆ
สุดท้ายนี้หากใครที่เป็นสายหมอ สายฮีลลิ่ง เยียวยาจิตใจ ชอบความอิ่มเอมใจ เราขอแนะนำซีรีส์น้ำดี ในแบบไร้ที่ติอย่างเรื่องนี้ “The Good Doctor” (คลิกเพื่อรับชม) ได้เลยค่า สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันจนถึงตรงนี้ พบกันใหม่บทความหน้า บ๊ายบายค่า
Photo Credits:
Stay connected