สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน นอกจากกระแส Squid Game เกิมเด็กเล่นสุดโหดที่เรียกได้ว่าขึ้นเป็น Top อันดับ 1 แล้วนั้น ทำให้เราอยากจะแนะนำหนังและซีรีส์แนวๆ เดียวกัน ที่เรียกได้ว่าดูกันให้หายใจหายคอไม่ทันพร้อมกับเร่งอัตราการเต้นของหัวใจกันเลยทีเดียวกับ “5 หนังและซีรีส์เอาชีวิตรอด ที่ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต” ที่บอกเลยว่าสายลุ้นไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง งั้นอย่ารอช้าไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลยค่า
สายลุ้นไม่ควรพลาด “5 หนังและซีรีส์เอาชีวิตรอด ที่ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต”
เรื่องที่ 1: Squid Game
ประเภท: ซีรีส์
ความยาว: 1 ซีซั่น ( ณ ปัจจุบัน)
หนังและซีรีส์เอาชีวิตรอด เราขอแนะนำซีรีส์ที่เป็นกระแส ณ ตอนนี้อย่าง Squid Game เป็นผลงานการกำกับและการเขียนบทของฮวังดงฮยอก ผู้กำกับและเขียนบทที่มือชื่อเสียงชาวเกาหลี โดยผลงานที่ผ่านมาของเขาคือ Miss Granny (2013), The Fortress (2017) และ Collectors (2020)
โดยบทซีรีส์เรื่องนี้ฮวังดงฮยอกเขียนและกะว่าจะเผยแพร่ตั้งแต่ช่วง 10 ปีก่อน โดย Concept ของเรื่องได้รับแรงบันดาลใจมาจากการละเล่นชื่อดังของเกาหลีใต้ในปี 19 ที่เรียกว่า Squid Game หรือ เกมปลาหมึก แต่ทว่าด้วยความเข้มข้น ความดาร์ค และความดำดิ่งของเนื้อเรื่อง
เป็นเหตุทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ต้องขยับขยายเวลาออกไปไม่ได้ถ่ายทำเสียที เนื่องจากสมัยก่อนมองว่ามันรุนแรงเกินไป แต่ ณ วันนี้ ซีรีส์เรื่องนี้ได้ถูกนำบทกลับมาปัดฝุ่นและพร้อมฉายความสนุกให้บน Netflix อีกครั้ง
โดย Squid Game เป็นเรื่องราวขององค์กรลับที่คิดค้นเกมที่มีต้นแบบอย่าเกมปลาหมึกสมัยก่อน โดยจะรับสมัครผู้เล่นที่มีความสนใจทั้งหมด 456 คนมาร่วมแข่งขัและเล่นเกมนี้ ซึ่งของรางวัลคือเงินจำนวน 45.6 พันล้านวอน (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,300 ล้านบาท) และที่น่าสนใจคือ เงินรางวัลทั้งหมดนี้จะตกเป็นของผู้ที่ชนะเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่การเล่นมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะเมื่อใครก็ตามที่ก้างขาไปเล่นเกมนี้ ไม่ได้เงินก็ต้องแลกด้วยชีวิต
บอกความน่าประทับใจของซีรีส์เรื่องนี้ก่อน เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ตีความและขยายเอา จุดเล็กๆ อย่างการละเล่นสมัยเด็กที่เรียกได้ว่าเหมือนผ้าขาว และดูไม่มีผิดภัย มาขยายและทำให้มันดูน่ากลัว
และพลิกแพลงทำให้ดูโหดร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เพียงแค่นั้นในซีรีส์จะแบ่งตอนแต่ละตอนเป็นการละเล่นที่เราๆ ก็คงรู้จักกันบ้าง มาทำให้ดูโหดขึ้น มีความท้าทายขึ้น
เรียกได้ว่าทำเอาคนดูลุ้นไปตามๆ กัน นอกจากการพลิกแพลงการเล่นแล้วสิ่งที่น่าสนใจของเรื่องคงหนีไม่พ้น การสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคม ความรุนแรง และสะท้อนด้านมืดของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ในครั้งที่คนเราไม่ได้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เราก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่เมื่อความโลภ ความโกรธ ครอบงำเมื่อไร ความดีและมิตรภาพต่างๆ ก็ดับสูญไปเท่านั้น
อย่างว่าเพราะแบบนี้ มนุษย์เราเลยขึ้นมาเป็นสัตว์ที่เห็นแก่ตัว และทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตน
เรื่องที่ 2: Saw
ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 9 ภาค
เรื่องถัดมาบอกเลยว่าเป็นหนังและซีรีส์เอาชีวิตรอด ระดับตำนานที่หาตัวจับได้ยาก การันตีความโหดและทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ภาค และมีมาต่อเนื่องจนถึงภาคที่ 9 แล้ว กับ Saw เรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องฉายาว่า Saw โดยรูปแบบการฆ่าของซอว์นั้น จะแตกต่างจากฆาตกรทั่วไป เพราะเขาจะจับเหยื่อมาและให้เล่นเกมโหดในรูปแบบต่างๆ ภายในเวลาที่กำหนด หากชนะเกมจะถูกปล่อยตัว แต่หากแพ้หรือไม่ยอมเล่นก็เตรียมตัวตายสถานเดียว
สิ่งที่ชอบในตัวของหนังเรื่องนี้คงเป็นการเสียดสีสังคมที่เรียกได้ว่ากว่าจะรู้ความหมายและที่มาของความคิดซอว์นั้น ก็เล่นทำคนดูติดใจและวนดูไปหลายภาค หากใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้จะรู้เลยว่าซอว์มักจะจับเหยื่อมา ซึ่งเหยื่อแต่ละคนล้วนเป็นคนที่มีประวัติการกระทำไม่ดีด้วยกันทั้งสิ้น
และการให้เหยื่อได้เล่นเกมนั้น
ซอว์มักบอกเสมอว่า มนุษย์เรามักไม่เห็นความดีความชั่วหรือคุณค่าของการเป็นอยู่ เสียนอกจากว่าสิ่งเหล่านั้น หรือโอกาสนั้นกำลังจะหมดไป ดังนั้นมนุษย์ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด
ปล. เกมของซอว์ที่เรารู้สึกกลัวและเสียวที่สุดคือ เกมกระโดดลงไปในบ่อเข็มฉีดยานับพันเล่ม เพื่อค้นหายาถอนพิษ ภายใน 60 วินาที เห็นแล้วจะเป็นลมแทน
เรื่องที่ 3: Battle Royale
ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 2 ภาค
เรื่องถัดมาเราบอกเลยว่า เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราดูซ้ำมากกว่า 2 รอบ และเป็นอีกหนึ่งหนังในตำนาน และเป็นหนังที่เรียกได้ว่าใหม่และโหดสำหรับสมัยนั้นเป็นที่สุด นั่นก็คือ ” Battle Royal” ในชื่อภาษาไทย “เกมนรก สถาบันพันธุ์โหด” เป็นของนักเรียนวัยมัธยมห้องเรียนหนึ่ง
ได้มีโอกาสไปทัศนศึกษานอกห้องเรียนทุกคนต่างพากันปิติยินดี และดีใจกับการไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ
แต่แล้วจู่ๆ ทุกคนก็เหมือนหลับไป พร้อมตื่นฟื้นขึ้นมาอีกทีให้ห้องเรียนห้องหนึ่ง และมีปอกคอสวมอยู่ จนได้รับประกาศว่า นักเรียนที่อยู่ในห้องนี้ ได้เข้าร่วมโครงการ BR ACT ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาล นักเรียนทุกคนจะต้องฆ่าฟันกันเองจนเหลือผู้เล่นคนสุดท้ายที่ชนะและรอด โดยแต่ละคนจะได้จับฉลากเลือกอาวุธ
แต่ทว่าหากใครฝ่าฝืนไม่เล่นเกม หรือพยายามออกนอกเขตุแดน ปอกคอจะทำงานและระเบิดฆ่าตัวตายทันที ด้วยเหตุนี้มิตรภาพและความรักที่มีให้กันจะต้องจบลง ณ วันนี้
สำหรับเราแล้วหนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เรียกได้ว่าเป็นหนังเล่นเกมเอาตัวรอดระดับตำนานที่หาตัวจับได้ยาก (สำหรับสมัยนั้น) ทุกอย่างคือโหดและดูจริง ลุ้นทุกวินาที อีกทั้งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและความตึงเครียดของวัฒนธรรมญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ในส่วนอื่นๆ ก็เหมือนหนังเอาตัวรอดทั่วไปที่สะท้อนให้เห็นธาตุแท้และสัฐชาติดิบของมนุษย์ ที่ไม่ว่ายังไงก็พร้อมจะเผยออกมาได้เสมอ
เรื่องที่ 4: Alice in a borderland
ประเภท: ซีรีส์
ความยาว: 1 ซีซั่น ( ณ ปัจจุบัน)
เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่า อะริสุ เรียวเฮ แต่เพื่อนๆ ของเขาทั้งโชตะ และ คารุเบะ เรียกเขาว่า อลิส พวกเขาทั้งสามคนเป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่นหรือ Passion อะไรเหมือนคนอื่นเขา เรียกได้ว่าเหมือน Loser ของห้องหรือสังคมที่เขาอยู่เลยก็ว่าได้ ในวันหนึ่งขณะที่พวกเขาได้นั่งเล่นกันอยู่นั้นอยู่ๆ ก็เกิดแสงประหลาดพุ่งลงมาจากท้องฟ้า และเหมือนตัวของพวกเขาหลุดไปยังโลกหรือมิติหนึ่ง
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกที บ้านเมืองพังละเนละนาด ไฟฟ้าถูกตัดขาด โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารไม่สามารถใช้ได้ แต่ทว่าเมื่อพวกเขาต้องการหาคำตอบจากเรื่องนี้ ก็ได้พบความจริงที่ว่า เขากำลังอาศัยอยู่ในเมืองหนึ่งที่คล้ายโตเกียว แต่ถูกเรียกว่า “ดินแดนมรณะ”
สิ่งที่ผู้อาศัยต้องทำในดินแดนแห่งนี้คือ การเล่นเกม ที่แบ่งระดับและประเภทตามหน้าไพ่ เพื่อต่ออายุวิซ่าตัวเอง ใครวีซ่าหมดเท่ากับเกมโอเวอร์ และไม่เพียงเท่านั้นในบางเกมที่พวกเขาต้องเล่นนั้น ก็อาจจะทำให้เกมโอเวอร์ได้เหมือนกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า “ตาย” ด้วยเหตุนี้ทำให้อลิสและเพื่อนต้องจำใจอยู่ในดินแดนนี้ พร้อมกับตั้งคำถามมากมายว่า “เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขากันแน่”
เรื่องที่ 5: Escape Room
ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 2 ภาค
Escape Room เป็นหนังและซีรีส์เอาชีวิตรอด ที่พูดถึงคนแปลกหน้าชายหญิงทั้งหมด 6 คน ที่ตื่นขึ้นมาในห้องปริศนา โดยกฏของสถานที่แห่งนี้คือการไขปริศนาของห้องแต่ละห้องไปเรื่อยๆ ซึ่งเกมในแต่ละห้องนั้นจะต้องเดิมพันด้วยชีวิต เลือกเอาว่าจะมีชีวิตรอดเพื่อออกไปข้างนอกหรือจะต้องตาย
หากถามว่าเมื่อเทียบหนังแนวเอาชีวิตรอดของเรื่องอื่นกับเรื่องนี้นั้น คงไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมาก แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ลุ้นและสนุกมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ คือการที่ตัวละครจะต้องพบเจอการเปลี่ยนแปลงของโจทย์การเอาชีวิตรอดในแต่ละห้องที่จะต้องเจอแบบแตกต่างกัน
เขาจะไม่มีวันรู้เลยว่าเขาจะต้องพบเจออะไรในห้องถัดไป เกิดการคาดเดาต่างๆ นาๆ
ซึ่งในแต่ละด่านแต่ละห้อง ตัวเราที่เป็นคนดูไม่สามารถคาดเดากลไกหรือที่มาที่ไปของโจทย์นั้นๆ ได้เลย นอกจากนั้นเราจะต้องลุ้นไปกับการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของแต่ละตัวละคร ใครจะอยู่ใครจะไป แต่สิ่งที่ทำให้หนังแนวเอาชีวิตรอดแบบนี้มีเสน่ห์นั้นคือ เราจะรับรู้ได้ถึงสันดานดิบของความเป็นมนุษย์อยู่บ่อยครั้ง
นั่นก็คือ ความเห็นแก่ตัว และทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน นั่นก็คือทฤษฎีของการคัดสรรทางธรรมชาติ ใครที่แข็งแกร่งมักอยู่รอด คนที่อ่อนแอก็แพ้ไปซะ และนี่แหละ เราจะได้เห็นความเห็นแก่ตัวต่างๆ นาๆ การเอาตัวรอดของคนแต่ละคน รวมถึงความฉลาดชิงไหวชิงพริบของตัวละครในเรื่องอีกด้วย
Photo Credits:
Stay connected