สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เมื่อต้นเดือนเมษายนหนังที่ได้ขึ้นครองใจผู้ชมบน NETFLIX เป็นอันดับหนึ่งนั้นคงหนีไม่พ้น The Shawshank Redemption หนังดียอดนิยมตลอดกาล
ซึ่งต้นฉบับในการเขียนเรื่องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนักเขียนชื่อดังระดับโลกอย่าง Stephen King และวันนี้ Clubsister ขอนำเสนอลิสต์นี้สำหรับแฟนคลับหรือผู้ที่ชื่นชอบ Shawshank กับ
“ดีจนต้องขึ้นหิ้ง 4 หนัง Stephen King บน NETFLIX ที่แฟนคลับพลาดไม่ได้!” บอกเลยว่าหนังแนว Mystery, Thriller ต้องยกให้ศาสตราจารย์คนนี้ งั้นอย่างรอช้าไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
“ดีขึ้นหิ้ง 4 หนัง Stephen King บน NETFLIX ที่แฟนคลับพลาดไม่ได้!”
เรื่องที่ 1: The Shawshank Redemption (1994)
มาจากหนังสือเรื่อง: The Different Seasons (นิยายเรื่องสั้น)
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 9.3 / 10
หากพูดถึงหนัง Stephen King แล้วละก็ เรามั่นใจเลยว่าใครๆ ก็จะต้องนึกถึงเรื่องนี้เป็นแน่ อีกทั้งเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนังขึ้นหิ้งที่ควรดูให้ได้สักครั้งในชีวิตกับ “The Shawshank Redemption” เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าและสร้างแรงบันดาลใจ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก1 ใน Novella ของ Stephen King ที่ใช้ชื่อว่า “Rita Hayworth and Shawshank Redemption” ที่ถูกรวมเล่มและตีพิมพ์ในหนังสือที่ชื่อว่า Different Seasons เมื่อปี 1982 และนำมาพัฒนาบทและกำกับผลงานที่ดีก้องโลกโดย Frank Darabont
โดยเรื่องราวพูดถึงปี 1947 นายธนาคารหนุ่มที่ชีวิตกำลังรุ่งไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือชีวิต “แอนดี้ ดูเฟรน” ถูกพิพากษาและตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ด้วยข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชู้รักของตนด้วยอาวุธปืน โดยแอนดี้ถูกตัดสินให้เข้ามาอยู่ในเรือนจำ Shawshank ที่เรียกได้ว่าเป็นเรือนจำที่โหดและมีความคุมเข้มที่สุด ในช่วงแรกที่เข้ามาแอนดี้ไม่ปริปาก, บ่น หรือพูดคุยกับใครซักคนในเรือนจำ เขาเป็นคนเงียบๆ และใช้ชีวิตเรียบง่ายในคุกเปรียบเสทือนบ้านของเขา
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป 1 เดือน ในวันหนึ่งแอนดี้เดินตรงเข้าไปหา “เรด” เพื่อนผู้ร่วมเรือนจำคนหนึ่งที่เปรียบเสมือน “คนหาของ” ในคุก พร้อมกับเอ่ยประโยคคำพูดแรกกับเรด เพื่อให้เรดหาของให้กับเขา และนี่ก็เป็นเรื่องราวของมิตรภาพ ความหวัง และความรุนแรง ภายใต้โลกอีกแห่งหนึ่งของแอนดี้กับ “The Shawshank Redemption
สิ่งที่ทำให้เราแนะนำเรื่องนี้เป็นหนัง Stephen King เรื่องแรกที่อยากแนะนำ นั่นก็เพราะว่าเป็นหนังที่เรียกได้ว่ายกทุกๆ คำชมให้กับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเสียดสีสังคม สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความลุ้นระทึก และรวบรวมเทคนิคต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งแก่นและสิ่งที่หนังต้องการจะบอกทุกอย่างในเรื่องนี้ ดีจนไร้ที่ติ สิ่งที่หนังกำลังบอกและพยายามสื่อกับคนดูอย่างเราๆ ให้เห็นถึงคำง่ายๆ สั้นๆ แต่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือ “ความหวัง”
สิ่งที่เรื่องนี้กำลังบอกและถ่ายทอดออกมาเลยนั้น กำลังจะบอกถึง “ความหวัง” และ “เสรีภาพ” ที่เป็นของคู่กัน หากใครที่ได้อ่าน Novella ด้วยนั้น จะยิ่งเห็นภาพและความชัดเจนของหนังเรื่องนี้เข้าไปอีก The Shawshank Redemption เป็นหนังที่ทำให้เราเข้าใจว่า “ถึงชีวิตมันจะแย่ขนาดนั้น อย่างน้อยความหวังก็คงเป็นเหมือนแสงไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางให้ชีวิตเราไม่มืดกว่าที่เป็นอยู่”
เรื่องที่ 2: The Green Mile (1999)
มาจากหนังสือเรื่อง: The Green Mile
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 8.6 / 10
อีกหนัง Stephen King ขึ้นหิ้งและเป็นที่ได้รับพร้อมพูดถึงไม่ว่าจะเป็นต้นฉบับจากคิงเอง หรือ Frank Darabont ที่เคยได้รับคำชมและเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากกับหนังสร้างชื่อของเขาอย่าง The Shawshank Redemption และ The Green Mile เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซี, ดราม่า อีกเรื่องจากการกำกับของ Frank และได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังมาจากนิยายที่มีชื่อเหมือนกันของ Stephen King โดย The Green Mile เป็นนิยายและภาพยนตร์แนวแฟนตาซี, ดราม่า ที่พูดถึง พอล ชายแก่ที่อาศัยในบ้านพักคนชรา ขณะที่เขากำลังพูดคุยกับเพื่อนในบ้านพักถึงหน้าที่การทำงานในอดีตของเขา รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาอยากจะกลับไปแก้ไข
แต่ทว่าทำยังไงก็ไม่สามารถกลับไปได้อย่างการเป็นผู้คุมนักโทษไปยังแดนประหารโดยพอลเคยทำงานเป็นผู้คุมนักโทษที่จะถูกส่งตัวไปยังเก้าอี้ไฟฟ้า โดยตลอดเส้นทางเดินไปยังห้องประหารนั้น จะมีชื่อเรื่องว่า “The Green Mile” ด้วยผนังและแสงไฟสลัว ที่ทำให้ตลอดเส้นทางเดินเป็นสีเขียว ในครั้งหนึ่งพอลได้รับตัวนักโทษคนหนึ่งที่มีชื่อว่า จอห์น คอฟเฟ่ เขาถูกรับโทษประหารชีวิตจากคดีฆาตกรรมเด็กสาว 2 คน
แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าผู้คุมและตัวของพอลนั้นประหลาดใจ คือพฤติกรรมของจอห์นที่ไม่ว่ายังไงก็ดูเหมือนจะฆ่าใครไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการเป็นคนจิตใจดี พูดจามีสัมมาคารวะ โอบอ้อมอารี พร้อมที่จะช่วยเหลือคนอื่น ไม่เพียงแค่นั้น เขาเป็นโรคกลัวความมืด บ่อยครั้งที่จอห์นได้ช่วยเหลือนักโทษคนอื่นๆ และช่วยผู้คุมจากเรื่องต่างๆ ด้วยความดีนี้ทำให้พอลและผู้คุมแทบจะทุกคนรู้ได้ว่าจอห์นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ทว่าคำสั่งศาลถือเป็นที่สิ้นสุด เมื่อใครก็ตามที่ถูกตัดสินให้นั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ ถึงแม้จะไม่ผิด ก็ไม่สามารถทวงคืนคำตัดสินนั้นได้
สิ่งที่ทำให้เราประทับใจและเรียกได้ว่าตราตรึงและกินใจกับหนังเรื่องนี้เลยคือ การเสียดสีสังคม (แบบเป็นนัยยะ ตามแบบฉบับของคิง) โดยเรื่องนี้ต้องการจะสอนและบอกคนดูอย่างเราว่า “อย่าตัดสินคนจากภายนอก ถึงแม้ว่าภายนอกเขาจะดูน่ากลัวหรือดูน่าเกรงขามเพียงใด จงสัมผัสที่แก่นแท้ของจิตใจของมนุษย์ดีกว่า มิเช่นนั้น การตัดสินใจผิดของเราเพียงครั้งเดียว อาจสร้างรอยแผลในใจที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้เลย”
นอกจากแก่นเรื่องที่เฉียบแล้ว หนังเรื่องนี้จะไม่สมบูรณ์แบบเลยถ้าไม่ได้รับการแสดงจาก Michael Clarke Duncan นักแสดงผิวสี ที่เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากตัวละครในเรื่องของคิงเลยก็ว่าได้ เขามีความสูง 192 เซ็นติเมตร และร่างการกำยำบึกบึน แต่ทว่าแสดงสีหน้าและถ่ายทอดอารมณ์ของจอห์นออกมาให้ คนดูอย่างเราเข้าใจจิตใจของตัวละครตนนี้ได้เป็นอย่างดี
เรื่องที่ 3: Secret Window (2004)
มาจากหนังสือเรื่อง: Secret Window, Secret Garden
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 6.6 / 10
หากใครที่ติดตาม Johnny Depp และติดภาพจำคาแร็คเตอร์ของเขาในบทบาทกัปตันแจ็คแล้วละก็ ในหนัง Stephen King เรื่องนี้ เราจะได้เห็นอีกหนึ่งบทบาทที่เรียกได้ว่าน่าจับมองอีกเรื่องกับ Secret Window ภาพยนตร์แนวจิตวิทยา, ระทึกขวัญอีกเรื่องของคิง ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่ได้รับความนิยมเสียเท่าไร แต่บอกเลยว่าบทและการหักมุมเรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใครเลยก็ว่าได้
โดย Secret Window เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนิยายแนวระทึกขวัญที่มีชื่อใกล้เคียงกันอย่าง Secret Window , Secret Garden และนำมาดัดแปลงพร้อมกำกับใหม่อีกครั้งโดย David Koepp
พูดถึงเรื่องราวของ มอร์ท นักเขียนนิยายแนวระทึกขวัญดาวรุ่ง ที่มีชื่อเสียงแต่ทว่าตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นกลับกำลังตกต่ำ เขาคิดตอนจบของนิยายเรื่องใหม่ของเขาไม่ออก กำลังจะหย่ากับภรรยา แต่ทว่าในขณะที่กำลังคิดบทและหาทางออกให้กับนิยายของตนอยู่นั้น อยู่มาวันหนึ่งเขามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่มาชื่อว่า จอร์น ชูตเตอร์ โดยจอห์นมาที่บ้านเขา พร้อมบอกว่า เขาขโมยไอเดียนิยายไปใช้ ซึ่งมอร์ทก็ปฏิเสธพร้อมยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ทว่าการถูกคุกคามและตามรังควานของชูตเตอร์ก็ไม่ยอมหยุด จนกระทั่งเกิดเรื่องน่าประหลาดใจและเลวร้ายเกิดขึ้นกับเขา
Secret Window เป็นอีกหนึ่งหนัง Stephen King ที่เราอยากจะแนะนำให้สาวๆ ได้ลองดูกัน (ถึงแม้จะไม่ค่อยมีคนรู้จักมากเท่าไรก็ตาม) นอกจากบทและการเล่าเรื่องแล้ว สิ่งที่น่าชื่นชมเลยคือการแสดงของป๋าเด็ป บอกเลยว่าเฉียบและสุดจริงๆ ไม่เพียงแค่นั้นหนังเรื่องนี้จัดเรียง Mood and Tone ของเรื่องได้ดีสุดยอด แต่ที่พีคที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนจบของเรื่อง!
เรื่องที่ 4: Gerald’s Game (2017)
มาจากหนังสือเรื่อง: Gerald’s Game
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 6.5 / 10
สาวๆ คนไหนที่เป็นคอหนังสืบสวนสอบสวนจะต้องรู้จักหนัง Stephn King ใน Original Netflix เรื่องนี้เป็นแน่ เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกจากปลายปากกาของ King ด้วยเช่นกัน Gerald’s Game พูดถึง เจสซี่ หญิงสาวผู้โชคดี เธอได้แต่งงานกับสามีที่เป็นนักธุรกิจและร่ำรวยเงินทองซึ่งมีอายุห่างกับเธอถึง 11 ปีด้วยกัน
แต่ช่วงหลังมานี้ ด้วยอายุที่ห่างกันทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและสามีไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร ในวันหยุดสุดสัปดาห์สามีของเธอตั้งใจพาเธอไปพักผ่อนหย่อนใจที่บ้านต่างอากาศเพื่อกระชับความสัมพันธ์ฉันผัวเมีย โดยสามีของเธอคิดแผนการการมีเซ็กซ์กับเธอแบบโลดโผนพิสดารเพื่อสร้างความแปลกใหม่ และตื่นเต้นโดยการให้แจ๊สซี่นอนเปลือยเปล่าพร้อมใส่กุญแจมือทั้งสองข้างของเธอไว้กับหัวเตียง
ในขณะที่กำลังเริ่มบรรเลงเพลงเสียวกันอยู่นั้น สามีเธอกลับเกิดอาการช็อคและหัวใจวายตายกระทันหัน ยังไม่ทันได้เริ่มเลยเสียด้วยซ้ำ ทำให้แจ๊สซี่เหมือนถูกขังอยู่ในกุญแจมือโดยที่ไม่รู้ว่าแม่กุญแจในการปลดพันธนาการเธออยู่ที่ไหน และนั่นทำให้เธอต้องหาทางเอาตัวรอดจากเกมรักพิสดารนี้ของสามีเธอ
พูดเลยว่าหนัง Stephen King เรื่องนี้ทำให้ลุ้นและรู้สึกหลอนไปกับบรรยากาศของหนังตามสไตล์ของนักเขียนแนวสยองมือฉกาจ โดยเริ่มจากการเห็นสามีที่รักของเธอตายไปต่อหน้าต่อตา สุนัขจรจัดที่หิวโหยเข้ามาในบ้านพร้อมกับแทะกินเนื้อของสามีเธอทีละเล็กละน้อย สภาวะขาดน้ำ การเห็นภาพหลอนต่างๆ และนั่นทำให้บรรยากาศหลอนๆ เริ่มเข้ามาทีละเล็กละน้อย และนี่คือการเล่าเรื่องของสไตล์คิง ที่ทำให้คนดูอย่างเราติดกับความมันส์และหลอนอย่างอยู่หมัดเลยทีเดียว
Photo Credit:
Stay connected