สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน ช่วง WFH นี้ เริ่มเบื่อๆ หนังที่มี หรือซีรีส์ที่ดู เลยหันเหไปดูแนวเบาสมอง น่ารักๆ อย่างแนวเจ้าหญิง แฟรี่เทลล์กันบ้าง ดูไปดูมาก็รู้ว่าตัวเองดูหนังที่เหมือนหนังได้รับแรงบันดาลใจมาทั้งนั้น วันนี้ Clubsister เลยขอแนะนำ 5 หนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ” ตํานานเจ้าหญิงดิสนีย์ “ มีเรื่องอะไรและได้แรงบันดาลใจมาจากเจ้าหญิงองค์ใด ไปลองดูกันเลยค่า
5 หนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ” ตํานานเจ้าหญิงดิสนีย์ “
เรื่องที่ 1: Beastly (2011)
สร้างมาจากตำนานเจ้าหญิงดิสนีย์: Beauty and the Beast
‘ไคล์’ ลูกชายของผู้ประกาศข่าวชื่อดังที่เพอร์เฟ็คไปเสียทุกอย่างทั้งรูปร่าง หน้าตาและฐานะ แต่นิสัยกลับตรงกันข้าม ไคล์ชอบดูถูกคนอื่นไม่ว่าจะด้วยหน้าตาหรือฐานะ เขามักใช้คำดูหมิ่นพูดจาเสียดสี เห็นแก่ตัวและไม่มีน้ำใจ จนกระทั่งวันหนึ่งไคล์ก็ดันไปดูถูกและดูหมิ่น ‘เคนดร้า’ เด็กสาวลึกลับที่ใครจะไปรู้ว่าเป็นแม่มด
ด้วยเหตุนี้ทำให้เคนดร้าร่ายคาถาสาปไคล์ให้มีใบหน้าอัปลักษณ์หัวล้าน ตามตัวและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยสักและรอยแผลเป็น เพื่อดัดนิสัยเขาให้รู้ถึงการดูถูกและไม่มีน้ำใจกับคนอื่น สิ่งที่จะถอนคำสาปนี้ได้มีเพียงอย่างเดียวคือภายในฤดูใบไม้ผลิ ไคล์จะต้องหาคนที่รักเขาในสิ่งที่เขาเป็นให้เจอ มิเช่นนั้นเขาจะต้องกลายเป็นอสูรร้ายหน้าตาอัปลักษณ์ไปตลอดชีวิต
พออ่านเรื่องย่อจบปุ๊บก็รู้เลยใช่ไหมว่าเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูร ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพล็อตหรือวิธีการดำเนินเรื่องแทบจะเหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่สิ่งที่ดีงามคือพระเอก เอ้ย! การนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อไม่ให้มันดูเหนือจินตนาการมากเกินไป อย่างเช่นเปลี่ยนอสูรที่มีรูปร่างคล้ายสัตว์ประหลาดเป็นคนที่มีรูปร่างอัปลักษณ์แทน
เปลี่ยนเบลล์แม่สาวนักอ่าน ให้เป็น ‘ลินดี้’ เด็กนักเรียนทุนที่มีปัญหาทางบ้าน เธอเป็นเหมือนคนที่เข้ามาทำให้ดอกไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิของไคล์เบ่งบานอีกครั้ง เธอมีเหตุทำให้ต้องเข้ามาอยู่บ้านเดียวกับไคล์ เขาทั้งสองเริ่มทำความรู้จักซึ่งกันและกัน และขณะหนึ่งไคล์นั้นแอบชอบลินดี้โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว เขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอรักเขา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนจดหมายรัก การปลูกดอกกุหลาบที่นางเอกอยากจะปลูก เพราะเหตุนี้ ไคล์จึงเริ่มรู้จักคำว่ารัก และเรียนรู้การใช้ชีวิตใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่แบบเดิมที่เขาคิด
เรื่องที่ 2: A Cinderella Story (2004)
สร้างมาจากตำนานเจ้าหญิงดิสนีย์: Cinderella
คงไม่มีใครไม่รู้จักนิทานในตำนานอย่างเรื่อง Cinderella หญิงสาวแสนสวยที่กำพร้าแม่ตอนเด็ก พ่อแต่งงานใหม่กับแม่เลี้ยงมีลูกสาวติดมาด้วย 2 คน ก็ดันใจร้ายกดขี่ข่มเหง อยู่มาวันหนึ่งถูกเชิญไปงานเต้นรำ มีนางฟ้ามาช่วย สุดท้ายได้ครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุข จบ! Happy Ending นั้นแหละ หนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน แต่ความแปลกใหม่อยู่ตรงที่มันเป็น Cinderella สมัยใหม่ (ฉบับแอบรักออนไลน์)
‘แซม’ เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ในร้านอาหารของพ่อตนเอง แอบรัก หนุ่มแชทนิรนามทางอีเมลล์ เรียนในโรงเรียนเดียวกันและอยากเข้ามหาวิทยาลัยที่เดียวกัน ชื่อว่า ‘ออสติน’ แต่ในความเป็นความจริงนั้น ออสตินเป็นหนุ่มฮอตอันดับหนึ่งของโรงเรียน ทั้งบ้านรวย เรียนเก่ง แถมยังเป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียนอีกด้วย เราคิดว่าทุกคนเคยผ่านประสบการณ์การแชทคุยกับคนแปลกหน้าทางออนไลน์มาบ้าง และบางคนเผลอไปรักฝั่งตรงข้ามซะด้วย (เชื่อว่าในปัจจุบันก็มี)
เรื่องนี้ก็เช่นกัน นางเอกกับพระเอก คุยกันผ่านทางอีเมลล์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น บอกเล่าเรื่องราวของตนในแต่ละวัน ต่างคนต่างหยอดถ้อยคำหวาน (หวานไปอีก) พร้อมกับการเดินเรื่องให้เหมือนกับในนิทานแบบไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้เราตั้งข้อสงสัยและจินตนาการตามว่า เอ่า! ถ้าฉากนางฟ้าเสกเสื้อผ้า รถม้า นี่หนังมันจะทำยังไง ? หรือ เฮ้ย! ฉากรองเท้าแก้วหล่นนี่ มันจะใช้รองเท้าแก้วเหมือนในนิทานรึเปล่า ? เลยทำให้เรายิ้มตามไปกับหนังได้เรื่อย ๆ
เรื่องที่ 3: Maleficent (2014)
สร้างมาจากตำนานเจ้าหญิงดิสนีย์: Sleeping Beauty
Maleficent พูดถึงเรื่องราวและความเป็นจริงของตำนานเจ้าหญิงนิทรา ใครจะไปรู้ว่าความจริงของเทพนิยายเรื่องนี้จะเป็นแบบนี้ ในเทพนิยายเรื่องเจ้าหญิงนิทราที่เรารู้จักกันนั้นคือ เจ้าหญิงองค์น้อยถูกต้องคำสาปจากนางฟ้าชั่วร้ายว่าเมื่อเจ้าหญิงอายุ 16 ปีเมื่อใด เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นด้ายทิ่มนิ้วจนตาย
แต่มีนางฟ้าแสนดีองค์หนึ่งให้พรวิเศษอีก 1 ข้อมาแก้คำสาปให้ แต่ไม่สามารถถอนคำสาปของมาเลฟิเซนท์ได้ เธอจึงแก้คำสาปว่าเจ้าหญิงจะไม่ตายเพียงแต่หลับไปเท่านั้น สิ่งเดียวที่จะช่วยให้ฟื้นขึ้นมาได้มีเพียงแค่จุมพิตจากรักแท้เท่านั้น แต่ใครเล่ามันจะไปรู้ว่าเบื้องหลังและความจริงของเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร
เดิมทีแล้วมาเลฟิเซนท์เป็นนางฟ้าที่แข็งแกร่งและสวยงามที่สุดในป่าแห่งเวทมนต์ เธอเป็นนางฟ้าที่สวยและจิตใจดีที่คอยรักษาและปกป้องทุกสิ่งที่อยู่ในป่าแห่งเวทมนต์ แต่แล้ววันหนึ่งชายหนุ่มที่หวังว่าตนเองจะเป็นราชาก็มาทำลายความหวังดีและความรักทั้งหมดของเธอโดนการตัดปีกที่เธอรักและเป็นเหมือนชีวิตของเธอไป ทำให้เธอไม่สามารถบินได้ตลอดกาล ความแค้นนี้ฝังลึกในจิตใจ
จนวันหนึ่งเจ้าหญิงน้อยถือกำเนิดขึ้น คำสาปทั้งหมดจึงไปอยู่ที่เจ้าหญิง แต่ด้วยเดิมทีมาเลฟิเซนท์เป็นนางฟ้าที่จิตใจดีและโอบอ้อมอารี บ่อยครั้งที่เธอใจอ่อนและแอบคอบช่วยเหลือเจ้าหญิงน้อยออโรร่าอยู่แทบทุกครั้ง จากความขี้สงสารและความอารีนี้ทำให้ก่อเกิดเป็นความรักขึ้น
เรื่องที่ 4: Enchanted (2007)
สร้างมาจากตำนานเจ้าหญิงดิสนีย์: Snow White, Cinderella และ Princess Aurora
Enchanted เป็นเรื่องราวของหญิงสาวผู้เลอโฉมมีผิวพรรณที่ขาวผุดผ่อง เสียงพูดและร้องอันไพเราะเสนาะหู ผู้ซึ่งปรารถนาจุมพิตจากรักแท้ เธอมีนามว่า ‘จีเซล’ อาศัยอยู่ในเมืองเวทมนต์แอนดัลเลเชีย เธอตกหลุมรักและกำลังจะแต่งงานกับเจ้าชาย ‘เอ็ดเวิร์ด’ (James Marsden)
แต่ราชินีซึ่งเป็นแม่มดใจร้ายเกิดกลัวว่าเจ้าชายที่เป็นลูกเลี้ยงของเธอจะแต่งงานและครอบครองบัลลังก์เพียงคนเดียว เธอจึงกีดกันทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดและจีเซลได้แต่งงานกัน
ในวันแต่งงานของจีเซลและเจ้าชายนั่นเอง แม่มดใจร้ายก็ปลอมตัวเป็นหญิงชราหลอกล่อจีเซลไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำแห่งห่วงมิติที่เชื่อมโยงระหว่างโลกแห่งเวทมนต์และโลกแห่งความเป็นจริง แม่มดใจร้ายได้ผลักจีเซลลงไปในนั้น และเรื่องราวอันน่าพิศวงก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เราว่าเรื่องนี้เป็นเทพนิยายดัดแปลงเรื่องโปรดของเราอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ เราว่ามันแปลกดีเพราะธรรมดาส่วนมากเราจะเห็นนิยายดัดแปลงที่มีเค้าโครงเรื่องเดิม ๆ แค่ปรับให้เข้ายุคสมัยเท่านั้น แต่สำหรับเรื่องนี้มีการนำเอานิทานสองเรื่องอย่างเจ้าหญิงนิทราที่เจ้าหญิงอาศัยในป่า
ร้องเพลงและตามหาเจ้าชาย กับ สโนไวท์ มา mix and match ให้เข้ากันอย่างลงตัว เมื่อจีเซลได้เข้ามาอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือโลกมนุษย์นั้นก็ได้เจอกับ ‘โรเบิร์ต’ ทนายพ่อหม้ายหนุ่มผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับคดีหย่าร้าง ผู้ซึ่งไม่เชื่อเรื่องรักแท้แบบในเทพนิยาย
เธอเห็นจีเซลเป็นหญิงสาวที่แปลกประหลาดแถมทำตัวราวกับออกมาจากเทพนิยาย (ก็เธอออกมาจากเทพนิยาย) เขาจึงรับเลี้ยงดูจีเซลเป็นการชั่วคราวเพื่อรอคนมารับเธอกลับบ้านของเธอ แต่ในขณะที่เขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน จีเซลเป็นเหมือนคนเปิดโลกทัศนคติในเรื่องความรักอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความโรแมนติกที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน การใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแบบที่เขาไม่เคยทำมาก่อน
อีกทั้งจีเซลยังเข้าใจและเป็นที่โปรดปรานของลูกสาวเขาอีกแต่เรื่องราวทั้งหมดยังไม่ได้มีความวุ่นวายเท่านี้ ตัวละครในโลกแห่งเทพนิยายเข้ามาอยู่ในโลกความจริงและมนุษย์เราเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนิยาย หนังเรื่องนี้ก่อเกิดจากความวุ่นวายแต่สุดท้ายทุกอย่างก็ก่อเกิดเป็นความรัก
เรื่องที่ 5: Aquamarine (2006)
สร้างมาจากตำนานเจ้าหญิงดิสนีย์: The Little Mermaid
เรื่องราวของ ‘แคลร์’ และ ‘เฮลลี่’ สองสาวเพื่อนรักคนสนิทในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เฮลลี่ต้องย้ายครอบครัวไปอีกเมืองหนึ่งซึ่งมันเป็นแย่มาก ทั้งคู่จึงหวังแค่เพียงจะมีเรื่องราวอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอไม่ต้องแยกจากกัน และแล้วในคืนหนึ่งซึ่งเป็นคืนที่มีพายุพัดคลื่นลูกใหญ่เข้าฝั่ง แคลร์
และเฮลลี่ก็พบกับ ‘อความารีน’ เงือกสาวที่มาจากใต้ท้องทะเล อความารีนได้ขอความช่วยเหลือจากแคลร์และเฮลลี่ให้ช่วยเธอตามหาชายในฝันของเธอภายในสามวัน เพื่อแลกกับความปรารถนาอะไรก็ได้ให้เป็นจริง และจากนั้นพรวิเศษของเหล่าเด็กสาวทั้งสามคนก็เริ่มต้นขึ้น
อความารีนเป็นเหมือนเจ้าหญิงเงือกที่ต้องการหารักแท้เพื่อขัดขวางความคิดพ่อที่จะจับเธอแต่งงาน ก็แอบคล้าย The Little Mermaid หน่อยนึงนะ แต่ครั้งนี้เจ้าหญิงเงือกของเราไม่จำเป็นต้องแลกเสียงกับขา แต่เรื่องนี้เจ้าหญิงเงือกของเรามีขาเป็นของตัวเอง แต่จะสามารถใช้ขาได้ตอนกลางวันและห้ามให้ขาเปียกไม่เช่นนั้นหางเธอจะโผล่
ดังนั้นแคลร์และเฮลลี่จึงต้องช่วยทำให้ความปรารถนาของอความารีนเป็นจริง เพื่อแลกกับพรตามปรารถนา ดังนั้นสองสาวจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้ ‘เรย์มอนด์’ ชายหนุ่มเซฟการ์ดสุดหล่อมาตกหลุมรักเงือกสาวแสนสวย ไม่ว่าจะเป็นการจับเธอแต่งตัวสวย ๆ ทำเหตุการณ์แสร้งทำให้เกิดเหตุให้ได้เจอกันโดยบังเอิญ จากสถานการณ์จำลองก่อเกิดเป็นมิตรภาพและก่อเกิดเป็นความผูกพัน ไม่ใช่แค่ในทางความรักที่อควาต้องการ แต่มันเป็นการเปิดโลกของสองโลกและรวมเด็กสาวทั้งสามให้ได้รู้จักคำว่ามิตรแท้เป็นยังไง
เราว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีเลยนะ คือเหมือนวางพล็อตเรื่องทั้งหมดให้คล้ายคลึงกับการ์ตูนเรื่อง The Little Mermaid เลยทีเดียว แต่อาจจะไม่มีแม่มด แต่ในเรื่องนี้มีนางร้ายที่คล้ายแม่มดอยู่ตรงที่แอบรู้ความลับเรื่องขาของอควาและพยายามทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางเธอกับเรย์มอนด์
ในขณะที่นั่งดูก็มีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานะ อาจจะเพราะด้วยความน่ารักของอควาด้วยมั้งเลยทำให้เรารู้สึกว่าเธอเหมาะกับบทนี้แล้วจริงๆ
Photo Credits:
Stay connected