มา Update Trend จากแบรนด์ดังกันบ้างดีกว่าค่ะซิส วันนี้เรามาพูดถึงแบรนด์ Gucci makeup ที่ออก Product ใหม่ชื่อว่า Éclat De Beauté Effet Lumière Face Gloss ซึ่งเป็น Item ที่ดูเรียบง่าย ใช้ง่าย และน่าสนใจเลยทีเดียว อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่ามันคืออะไร มาดูกันเลย 

 

Gucci Makeup เปิดตัวแรง! ‘ไฮไลท์’ แบบใหม่ ใคร ๆ ก็อยากลอง

Gucci Makeup

 

 เป็นที่รู้ดีกันอยู่แล้วว่าแบรนด์ดัง สุดแนวอย่าง Gucci นั้น ไม่ได้มีดีแค่เสื้อผ้า เครื่องประดับ ที่ดูทันสมัย ล้ำ แนว เก๋ สุดๆ แต่ทางแบรนด์เองก็ยังปล่อย เครื่องสำอางมาให้แฟนๆได้ครอบครอง และใช้กันอีกหลากหลายด้วยเช่นกันค่ะ

 

Gucci Makeup

 

 Face gloss Trend

 ต้องทำความรู้จักเทรนที่มีชื่อเรียกว่า Face gloss หรือ Glass skin ก่อนค่ะซิส เทรนนี้โด่งดังมาจาก Runway Fashion show ที่เน้นการแต่งหน้าแบบธรรมชาติ โชว์ผิว และความสุขภาพดีนั่นเอง

 จึงก่อเกิดเป็นเทรนด์ที่ แบรนด์ดัง เครื่องสำอางต่างๆ ทำ Product ที่จะช่วยให้ผิวของเราดูสุขภาพดี สวยงาม มากยิ่งขึ้นค่ะ

Gucci Makeup

 

  ซึ่งเจ้าตัว  Éclat De Beauté Effet Lumière Face Gloss นี้ก็ทำออกมา เพื่อการใช้งานเต็มรูปแบบ ใช้ได้ทั้ง ตา แก้ม ริมฝีปาก หรือจุดไฮไลท์ เพื่อผิวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนไม่ได้ลง ไฮไลท์ หรือเครื่องสำอางค์ใดใด ซึ่งไอเท็มนี้เกิดจากไอเดียของ Alessandro Michele ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ มาพร้อมกับแพ็กเกจจิ้งสุดเรียบง่ายด้วยสีชมพูอ่อน ประดับโลโก้ชื่อแบรนด์สีทอง สนนราคาอยู่ที่ $33 หรือประมาณ 1,000 บาท

Gucci Makeup

 

 ถ้าอยากได้งานผิวฉ่ำๆ น้อยๆแต่ดูแพงล่ะก็ แนะนำเลยค่ะชาวซิส 

ซึ่งถ้าพูดถึงงานผิวสวยๆ แบบนี้แล้วล่ะก็ เราแนะนำให้ดูแลผิวให้สวยกันก่อนอย่างแรกเลยค่ะ การใช้ Skincare ที่จำเป็นต่อผิวก็มีหลากหลายตระกูลด้วยกัน 

เพราะฉะนั้นเราจะขอพูดเรื่องผิวเพิ่มเติม เพื่อชาวซิสจะได้เอาไปประกอบการตัดสินใจ ในการดูแลผิวกัน

Skincare Regimen: ลำดับการบำรุงผิว

ในภาพรวมมีขั้นตอนพื้นฐาน 7-8 ขั้นตามตารางที่คุณควรเซฟเก็บไว้เพื่อความเข้าใจ

 

สำหรับช่วงกลางวันเน้นไปที่การเติมน้ำให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และปกป้องผิวจากแสงแดด มลภาวะ และปัจจัยทำร้ายผิวต่างๆ เป็นพื้นฐาน ในช่วงเวลานี้ควรงดการใช้สกินแคร์แรงๆ ที่กระตุ้นการผลัดผิว

 

 

ส่วนกลางคืนเน้นดูแลผิวให้ชุ่มชื้นเช่นกัน เสริมสกินแคร์ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะจุด และซ่อมแซมผิว

Step 1: คลีนเซอร์ (Cleanser)

ตอนเช้าแม้เป็นช่วงที่ผิวไม่ได้สกปรกนัก แต่การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่านั้นไม่เพียงพอ พอลล่า เบกวน (Paula Begoun) กูรูด้านสกินแคร์แนะให้เลือกใช้คลีนเซอร์ตามสภาพผิว “น้ำเปล่าไม่ช่วยล้างความมันออก ในช่วงเช้าควรใช้คลีนเซอร์ล้างเอาสิ่งที่ทาในค่ำคืนออกไปก่อน ผิวจะได้สะอาดเตรียมรับสารบำรุงใหม่ได้” ส่วนในตอนกลางคืน หากแต่งหน้าก็ต้องใช้เมกอัพรีมูฟเวอร์ก่อนด้วย แล้วตามด้วยคลีนเซอร์

 

Step 2: โทนเนอร์ (Toner)

ถือเป็น Optional ว่าจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ ให้ดูตามสภาพผิวหลังล้างหน้า เพราะดั้งเดิมโทนเนอร์ออกแบบมาให้ช่วยทำความสะอาดผิวอีกขั้น และช่วยปรับสมดุลผิวหลังใช้คลีนเซอร์ ซึ่งช่วยให้ผิวสะอาดแต่ก็แห้งตึงอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันมีคลีนเซอร์สูตรใหม่มากมายที่ช่วยปรับสมดุลผิวไปในตัวแล้ว ในขณะเดียวกันโทนเนอร์ก็มีหลากหลายสูตร และเพิ่มส่วนผสมบำรุงผิวเข้าไปด้วย ข้อควรระวังคืออย่าเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง

 

Step 3: ทรีตเมนต์ เอสเซนส์ (Treatment Essences) และทรีตเมนต์ โลชั่น (Treatment Lotion)

ถือเป็น Optional เช่นกัน ว่าง่ายๆ นี่คือน้ำตบ ที่เป็นขั้นตอนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยเตรียมให้ผิวชุ่มชื้นพร้อมรับการบำรุงขั้นต่อไป และช่วยบำรุงผิวเป็นขั้นตอนแรก ด้วยเนื้อสัมผัสแบบน้ำเบาบาง บวกกับลักษณะการใช้ที่ต้องอาศัยปลายนิ้วตบเบาๆ ทั่วใบหน้า จึงช่วยปลุกกระตุ้นการไหลเวียนในผิวได้

 

Step 4: ครีมบำรุงรอบดวงตา (Eyes Cream)

แพทย์ผิวหนัง แอนนี ชิว (Annie Chiu) แนะนำให้ทาอายส์ครีมตั้งแต่ช่วงวัย 20 ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างสม่ำเสมอ “ไม่มีอายส์ครีมมหัศจรรย์ใด ช่วยให้เห็นผลในข้ามคืน การทาอายส์ครีมเป็นเรื่องของการเหนี่ยวรั้งสภาพผิวรอบดวงตาไม่ให้หย่อนยาน หากใช้ประจำในระยะยาว จะช่วยป้องกันริ้วรอยและลดการสูญเสียคอลลาเจนได้”

 

Step 5: เซรั่ม (Serum)

เซรั่มเป็นสกินแคร์ที่อัดแน่นด้วยส่วนผสมออกฤทธิ์บำรุงผิวที่สุด จึงไม่ควรข้ามขั้นตอนนี้ แนะนำควรมีเซรั่มชุ่มชื้นเติมน้ำให้ผิวเป็นเซรั่มพื้นฐานทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วเสริมด้วยเซรั่มอื่นๆ ตามวัยและตามแต่สภาพผิวต้องการ สำหรับช่วงกลางวัน ดร. โรเจอร์สแนะนำว่าควรใช้เซรั่มแอนติออกซิแดนต์ด้วย เพราะให้ผลครอบคลุมทั้งลดการอักเสบผิว ปกป้องผิวจากรังสียูวี มลภาวะต่างๆ ส่วนเวลากลางคืนเป็นช่วงที่ร่างกายและผิวเตรียมซ่อมแซมส่วนต่างๆ ขณะที่เรานอนหลับ จึงควรใช้เซรั่มหรือทรีตเมนต์ที่แก้ปัญหาผิวเฉพาะเจาะจง ซึ่งมักมีส่วนผสมที่แรงขึ้นอย่างวิตามินซี เรตินอล เปปไทด์ เช่น เซรั่มต้านริ้วรอย เซรั่มเพื่อลดเลือนจุดด่างดำ เซรั่มกระตุ้นการผลัดผิว แผ่นพีลลิ่ง ยาแต้มสิว และควรสังเกตดูตามสภาพผิวในช่วงเวลานั้นๆ

 

Step 6: มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer)

เพราะผิวคนเราล้วนต้องออกไป สัมผัสกับแสงแดด อากาศร้อนหนาว และปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยดึงความชุ่มชื้นในผิวออกไป และแม้ร่างกายจะผลิตสารหล่อลื่นและน้ำมันมาเคลือบผิวตามธรรมชาติแล้วก็ตาม แต่ทุกสภาพผิวแม้ผิวมันก็ต้องการมอยส์เจอไรเซอร์เสริมอยู่ดี เพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นภายในผิว ซึ่งเป็นพื้นฐานผิวสุขภาพดีไว้ มอยส์เจอไรเซอร์บางชนิดใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน มักมีเนื้อสัมผัสเบาแบบเจลถึงเจลครีม ส่วนบางชนิดที่เข้มข้นขึ้นก็เหมาะสำหรับใช้กลางคืน เพื่อช่วยเคลือบผิวและลดการระเหยของน้ำ อย่างไรก็ตามในคนที่ผิวแห้งมากๆ สามารถเสริมด้วยออยล์ก่อนทาครีมได้อีก

 

Step 7: ครีมกันแดด (Sunscreen)

อีกขั้นตอนสำคัญขาดไม่ได้ สำหรับช่วงเวลากลางวัน แต่จะใช้ครีมกันแดดแบบเคมี (Chemical Sunscreen) หรือครีมกันแดดแบบสะท้อนแสงออก (Physical Sunscreen) ดีนั้น ดร.โรเจอร์สแนะนำว่า ให้ใช้แบบหลังจะดีกว่า เนื่องจาก “ครีมกันแดดแบบเคมี จะต้องอาศัยเวลาให้ซึมซาบเข้าผิวจึงจะเห็นผล ดังนั้นถ้าลงกันแดดแบบนี้ ตามหลังมอยส์เจอไรเซอร์ ก็จะผ่านลงไปได้ยาก” ด้วยเหตุนี้ครีมกันแดดแบบมิเนอรัลสะท้อนแสงออกจากผิวที่มักใช้ซิงก์เป็นส่วนประกอบหลักจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า แถมยังปลอดภัย และให้ผลป้องกันรังสียูวีเอ และบีได้ครอบคลุมกว่า  แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดแบบเคมี ก็แนะนำว่าให้เลือกสูตรที่ ผสมสารให้ความชุ่มชื้นไปในตัว และข้ามขั้นตอนมอยส์เจอไรเซอร์ไปเสียเลย ก็ได้เหมือนกัน 

 

Credit : https://www.vogue.co.th/ , https://www.gucci.com/ , https://thestandard.co/skincare-regimen/ 

Comments

comments