สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน พอเข้าเดือนเมษายน นอกจากหน้าร้อนแล้วนั้น คนหนังหรือผู้ที่ติดตามข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวกับวงการหนัง ต้องรู้จักเวทีอย่างออสการ์และลูกโลกทองคำแน่นอน
แต่จะมีใครบ้างที่รู้ว่าหนังของ Original NETFLIX Application สำหรับสตรีมหนัง ซีรีส์ และสารคดีชื่อดังของโลกนี้ ก็มีภาพยนตร์ที่ติดและได้รับรางวัลเวทีโลกด้วยเช่นกัน วันนี้ Clubsister เลยพามารู้จักกับ “5 หนังรางวัล Netflix คอหนังสายรางวัลห้ามพลาด!” บอกเลยว่าทุกวินาทีที่เปิดดูนั้นคุ้มคุ้มค่าสมาชิกที่เสียไปอย่างแน่นอน งั้นอย่ารอช้าไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
“5 หนังรางวัล Netflix คอหนังสายรางวัลห้ามพลาด!”
เรื่องที่ 1: Marriage Story (คลิกเพื่อรับชม)
ประเภทของภาพยนตร์: ดราม่า
รางวัลที่ได้: ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำในปี 2020, ชนะรางวัลออสการ์และลูกโลกทองปี 2020 คำสาขานักแสดงหญิงสมทบ
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.9 / 10
หนังรางวัล NETFLIX เรื่องแรกที่เราอยากแนะนำให้สาวๆ ได้รู้จักกันนั้น แน่นอนว่าใครที่เป็นคอหนังรางวัลหรือแฟนคลับ NETFLIX จะรู้จักเรื่องนี้เป็นแน่ เพราะเรียกได้ว่าภาพยนตร์ดราม่ากินใจเรื่องนี้ เป็นภาพยนตร์จาก Original NETFLIX เรื่องแรกๆ ที่ถูกเสนอเข้าจริงรางวัลออสการ์เลยก็ว่าได้ ไม่เพียงแค่นั้น ยังคว้าชนะรางวัลเวทีใหญ่ๆ มาแล้วด้วย
เรื่องนี้คือ ” Marriage Story” พูดถึงเหตุการณ์และการตัดสินใจของ “นิโคล”ที่อยากจะขอหย่ากับสามีของเธอ “ชาลี” ในห้องรับคำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่กับนักบำบัด โดยนิโคลเป็นนักแสดงละครเวทีให้กับโรงละครที่ชาลีเป็นผู้กำกับอยู่ แต่ทว่ายิ่งอยู่กันไป ยิ่งรู้สึกถึงความสุขน้อยลง ไม่เพียงแค่นั้นนิโคลและชาลี ยังประสบปัญหาความชินชาและการไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจว่าหย่า เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และใช้ชีวิตใครชีวิตมันตามที่ฝันที่วาดเอาไว้ แต่ทว่าในการหย่านั้น มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนแต่ง ทำให้ทั้งคู่ต้องผ่านเรื่องราวและนึกย้อนถึงความสุขที่ตนเคยมีมา
บอกเลยว่าหนังรางวัล NETFLIX เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมได้รับรางวัล ไม่ว่าจะด้วยบท, การแสดง และการถ่ายทำ ทุกอย่างลงตัวและออกมาได้ดีอย่างไร้ที่ติ ซึ่งความรู้สึกของคนดูหลังจากที่ดูเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น มันทำให้คนดูอย่างเราตั้งคำถามว่า “เราจะสามารถอยู่กับๆ คนนึงไปตลอดชีวิตได้ไหม” “การรักใครซักคน ต้องแลกกับการเสียตัวตนของตัวเองออกไปหรือเปล่า”
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลมและเข้มข้นขึ้นคงหนีไม่พ้นคุณทนายอย่าง Laura Dern ผู้สะท้อนและให้คำปรึกษาในการตัดสินใจเรื่องหย่าของนางเอก แค่ทว่าสิ่งที่เราชอบนอกจากตัวละครหลักทั้งสอง ตัวละครสมทบ คงหนีไม่พ้นฉาก Long Take ระเบิดอารมณ์ ที่เรียกได้ว่าทำเอาคนดูอย่างเราทึ่งและกดดัน พร้อมรับรู้ถึงอารมณ์ของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
เรื่องที่ 2: The White Tiger (คลิกเพื่อรับชม)
ประเภทของภาพยนตร์: ดราม่า, ภาพยนตร์ต่างประเทศ
รางวัลที่ได้: ถูกเสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมปี 2021
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.1 / 10
และหนังรางวัล NETFLIX เรื่องต่อไป เราขอตั้งฉายาให้กับเรื่องนี้โดยใช้ชื่อว่า “Parasite เวอร์ชั่นอินเดีย” ก็แล้วกัน บอกเลยว่าเป็นหนังเสียดสีสังคม จิกกัดชนชั้นวรรณะ ความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียมของประเทศที่เรียกได้ว่าระบอบประชาธิปไตยไม่ได้มีผลกับการใช้ชีวิตอย่างประเทศอินเดีย White Tiger ว่าด้วยเรื่องราวของ “พลราม” หนุ่มน้อยในวรรณะยากจนของประเทศอินเดีย ที่มีความฉลาดหลักแหลมในการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรือความรู้รอบตัว แต่ทว่าด้วยการเป็นอยู่ที่ไม่ได้เอื้ออำนวยนั้น ทำให้เขาต้องเลิกเรียนและผันตัวมาเป็นลูกจ้างในร้านน้ำชาแถวบ้าน และเขาก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมีหลายปีจนตัวเองโตเป็นหนุ่ม
สิ่งที่เขาเรียนรู้มาตลอดคือ หากเขาไม่ออกไปใช้ชีวิตที่อื่น เขาจะต้องเป็นลูกจ้างในร้านชาและทำงานเพื่อนำเงินไปให้ย่าของเขาที่เรียกได้ว่า “หนี้บุญคุณ” แบบนี้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นพลรามจึงตัดสินใจขอครอบครัวเข้าไปเป็นคนขับรถในบ้านเศรษฐีที่เป็นเจ้าของที่ในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ เพื่อยกระดับฐานะของเขาและครอบครัว แต่ทว่าในการที่เขาได้เข้าไปอาศัยและเป็นคนขับรถในบ้านเศรษฐีนั้น ทำให้เขาได้รู้จักกับเจ้านายที่มีดีกรีเป็นนักเรียนนอกในประเทศเสรีอย่างอเมริกา นั่นก็คือ คุณอโศกและมาดามพิงกี้ จากวันนั้นทำให้พลรามเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยมีความคิดว่าอยากจะรับใช้เจ้านายของเขาตลอดไป นั่นคือความฝันของเขา
แต่แล้วในวันหนึ่ง มาดามพิงกี้เกิดเมาและนึกสนุกอยากขับรถเล่น จนเกิดอุบัติเหตุชนเด็กตายในกรุงเดลี ด้วยเหตุนี้ทำให้พลรามต้องกลายมาเป็นแพะรับบาป ถูกเซ็นเอกสารรับความผิดแทนเจ้านายตนเอง หลังจากวินาทีนั้น ทำให้ลูกไก่กรงที่พร้อมจะโดนเชือด พงาดขึ้นและกลายเป็นเสือขาว ที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ! และกลายเป็นอิสระ
ส่วนตัวเรามองว่าหนังรางวัล NETFLIX เรื่องนี้น่าจะเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศเสียมากกว่า แต่ดันได้เสนอชื่อเข้าชิงในสาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลง แต่ถึงอย่างไร สุดท้ายส่วนตัวเรามองว่าหนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การรางวัลเป็นที่สุด หนังไม่ได้สะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ ส่งผลต่อสภาพจิตใจของประชากรที่ยิ่งมีคนรวยมากขึ้นเท่าไร จิตใจคนเรายิ่งเน่าเฟะมากขึ้นเท่านั้น
ประโยคที่เราชอบมากๆ และกินใจแบบจึกเลยคงหนีไม่พ้นประโยคที่ว่า “อย่าเป็นคนจนในระบอบประชาธิปไตย” มันเป็นประโยคที่จะว่าเสียดสีหรือจิกกัดแบบน้อยเนื้อต่ำใจก็คงไม่แปลก แต่ทว่าที่หนังเรื่องนี้ว่าไว้ก็มีความจริง แบบไม่ผิดเพี้ยนเลยซักนิด
เรื่องที่ 3: If Anything happens I love you (คลิกเพื่อรับชม)
ประเภทของภาพยนตร์: อนิเมชั่นเรื่องสั้น, ดราม่า
รางวัลที่ได้: ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ปี 2021 ในสาขาภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องสั้นยอดเยี่ยม
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.9 / 10
**คำเตือน! หากใครที่จิตใจอ่อนไหวง่ายมีสภาวะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือเพิ่งประสบเหตุการณ์การสูญเสียมา ให้ใช้สติและวิจารณญาณในการรับชมเป็นอย่างมาก
หนังรางวัล NETFLIX เรื่องต่อไป เราบอกเลยว่าเป็น 12 นาทีที่บีบคั้นหัวใจ บีบความรู้สึก และเรียกน้ำตาของเราได้ตั้งแต่ 5 นาทีแรก ในแบบที่ว่าร้องไห้และดาวน์ไปชั่วขณะหนึ่งเลยก็ว่าได้ If Anything happens I love you เป็นเรื่องราวที่อ้างอิงจากเหตุการณ์การสูญเสียที่อื้อฉาวและสร้างความหวาดกลัว พร้อมทั้งการสูญเสียเป็นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา โดยพูดถึงครอบครัวเล็กๆ อันอบอุ่นครอบครัวหนึ่งที่ต้องสูญเสียลูกสาวของเขาไปจากเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนมัธยม โดยประโยคสุดท้ายที่ลูกสาวของเขาได้ Text ทิ้งไว้คือ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนูรักพ่อกับแม่นะคะ”
เราขอบอกตรงนี้เลยว่าภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องสั้น 12 นาทีนี้ แบกรับทุกความรู้สึกและกัดกินหัวใจของคนดู ให้คล้อยตามไปกับความรู้สึกของผู้เป็นพ่อและแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันสะท้อนความสูญเสียคนที่เรารักไปแบบไม่รู้ตัว สิ่งที่เหลือไว้ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรือข้าวของที่หลงเหลืออยู่ มันล้วนเป็นความเจ็บปวด แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่เราอาจจะหลงลืมเอาไว้ว่าทุกๆ การจากไปจะมีสิ่งนี้เข้ามาแทนที่ด้วยเช่นกันนั่นคือ “ความรัก” ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สิ่งที่เราคิดและนึกถึงเขา คือ ความรักที่เรามีให้กันเสมอและจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป
เรื่องที่ 4: The Trial of the Chicago 7 (คลิกเพื่อรับชม)
ประเภทของภาพยนตร์: ดราม่า, อ้างอิงจากเหตุการณ์จริง
รางวัลที่ได้: ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ปี 2021 ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงชายสมทบยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และอื่นๆ อีก 2 รางวัล และชนะรางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในเวทีลูกโลกทองคำในปี 2021
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.8 / 10
หากพูดถึงหนังรางวัล NETFLIX ที่เข้ากับยุคกับสมัย ที่เด็กวัยรุ่นหรือกลุ่มคนรุ่นใหม่หันมาสนใจความเท่าเทียม สิทธิและระบอบรากฐานทางการเมืองเป็นที่สุด เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างมาจากเหตุการร์สุดอื้อฉาวในประเทศที่เรียกได้ว่าเสรีที่สุดในโลก อย่างสหรัฐอเมริกากับเรื่อง “The Trial of the Chicago 7“ ภาพยนตร์ที่นำเหตุการณ์การประท้วงของกลุ่มนักศึกษาที่มีแกนนำทางการเมืองทั้งหมด 8 คนในประเทศสหรัฐอเมริกา ณ รัฐชิคาโก ในช่วงปี 1968 ที่กลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิเพื่อปกป้องเพื่อนพ้องของเขาและความสงบในสงครามเวียดนาม รวมถึงสิทธิความเท่าเทียมของคนผิวดำอีกด้วย
หนังรางวัล NETFLIX เรื่องนี้เป็นผลงานการเขียนบทของ Aaron Sorkin (จากเรื่อง The Social Media) โดยสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หรือลายเส้นที่ส่งผลต่อหนังของเขานั้น คงหนีไม่พ้นภาพยนตร์ที่เน้น Conversation หรือ บทพูดเสียมากกว่า โดยหนังเรื่องนี้เน้นฉากไปที่การไต่สวนของศาล
ทำให้หนังเรื่องนี้แทบจะไม่มีฉากความรุนแรงที่เกิดขึ้นเลย (แต่ทว่าไม่ใช่เราไม่รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น)
สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เจ๋งและคุ้มค่าแก่การดูเลยคือ สิ่งที่มนุษย์เราเรียกร้องมาแทบตลอดทั้งชีวิตคือความเท่าเทียม แต่ทว่าในหนังเรื่องนี้มันมีความตลกร้ายตั้งแต่ชื่อเรื่อง โดยแกนนำหลักๆ ของกลุ่มนักศึกษานั้นมีทั้งหมด 8 คน แต่ทว่าในหนังเอ่ยถึง 7 คน นั่นก็เพราะว่าเขาอ้างอิงมาจากเหตุการณ์การเหยียดสีผิวของอเมริกา ที่เหล่าคนดำมักถูกมองและละเลยในสังคม
เรื่องที่ 5: Mank (คลิกเพื่อรับชม)
ประเภทของภาพยนตร์: ดราม่า
รางวัลที่ได้: ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงสมทบยอดเยี่ม และอื่นๆ อีกมากมายทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำปี 2021
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.0 / 10
และบอกเลยว่าหนังรางวัล NETFLIX เรื่องสุดท้ายที่เรารอคอย คือผลงานการกำกับของผู้กำกับฝีมือดีและชื่อดัง (เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ตัวนักเขียนเองชอบ) อย่าง David Fincher ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับมือพระกาฬในวงการฮอลลีวูดเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้เขาเลยภูมิใจและสร้างชื่อเสียงใหม่กับการกำกับ หนังเสียดสีและสะท้อนให้เห็นเบื้องหลังของวงการบันเทิงที่ใช่ว่า “วงการมายานี้ ก็ไม่ต่างจากโลกที่ล้วนเต็มไปด้วยความสีเทา” แทบจะทั้งสิ้น กับการถ่ายทอดชีวิตของ Herman J. Mankiewicz หรือคนในวงการเรียกเขาว่า Mank กับผลงานการเขียนบทที่เรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ชั้นยอดและขึ้นหิ้งตลอดกาลอย่าง Citizen Kane
หนังรางวัล NETFLIX เรื่องสุดท้ายที่เราภาคภูมิใจจะนำเสนอนั้น เป็นหนังที่บอกเลยว่าทุ่มทุนสร้าง และทุ่มทุนในการทำออกมาให้มีกลิ่นอายของยุคทองของวงการฮออลีวูดเลยก็ว่าได้ โดยปรับภาพเป็นขาวดำ ระบบเสียงแบบ Mono อีกทั้งยังดึงกลิ่นอายของบริบทโดยรอบออกมาให้ไม่ต่างอะไรกับหนังขึ้นชื่ออย่าง Citizen Kane เลยก็ว่าได้ สิ่งที่ชอบในตัวหนังเรื่องนี้เลย คงหนีไม่พ้นความปราณีตของการถ่ายทอดเรื่องราวในแต่ละซีน ทำให้เราเห็นภึงความสีเทา การเมือง และความดำมืดของเบื้องหลังวงการฮอลลีวูด ที่ฉาบหน้าด้วยชื่อเสียงและเงินทอง ไม่เพียงแค่นั้นยังสะท้อนให้เห็นถึงเบื้องหลังของคนเขียนบทที่เราอาจจะคิดว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ แต่ทว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะตรงกันข้ามกันเลยก็ได้
Source:
Photo Credit:
Stay connected