สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เหมือนเราห่างหายกันไปนานเลยกับ Content รีวิวหนังหรือซีรีส์ต่างๆ วันนี้ขอกลับมาคืนวงการอีกครั้ง พร้อมอยากแชร์สิ่งดีๆ ต้อนรับเดือนแรกในปีใหม่กับสาวๆ กันกับ แนะนำ “4 หนังสร้างแรงบันดาลใจ” บน Netflix ช่วยปลุกไฟในตัวคุณ ให้พร้อมเริ่มต้นปีใหม่ บอกเลยว่าแต่ละเรื่องมีแง่คิดในการใช้ชีวิตพร้อมเริ่มต้นใหม่สุดๆ อย่ารอช้าไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลยค่า
แนะนำ “4 หนังสร้างแรงบันดาลใจ” บน Netflix
เรื่องที่ 1: The Shawshank Redemption (1994)
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 9.3 / 10
คะแนนที่ได้รับจาก Rotten Tomato: 91% TOMATOMETER 98% AUDIENCE SCORE
คะแนนจากนักเขียน: 5 / 5
ข้อคิดที่ได้: ความหวังและการรอคอยระยะเวลา
Link สำหรับการรับชม: https://www.netflix.com/watch/70005379
“The Shawshank Redemption” เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าและสร้างแรงบันดาลใจ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก1 ใน Novella ของ Stephen King โดยเรื่องราวพูดถึงปี 1947 นายธนาคารหนุ่มที่ชีวิตกำลังรุ่งไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือชีวิต “แอนดี้ ดูเฟรน” ถูกพิพากษาและตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ด้วยข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชู้รักของตนด้วยอาวุธปืน
โดยแอนดี้ถูกตัดสินให้เข้ามาอยู่ในเรือนจำ Shawshank ที่เรียกได้ว่าเป็นเรือนจำที่โหดและมีความคุมเข้มที่สุด ในช่วงแรกที่เข้ามาแอนดี้ไม่ปริปาก, บ่น หรือพูดคุยกับใครซักคนในเรือนจำ เขาเป็นคนเงียบๆ และใช้ชีวิตเรียบง่ายในคุกเปรียบเสทือนบ้านของเขา
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป 1 เดือน ในวันหนึ่งแอนดี้เดินตรงเข้าไปหา “เรด” เพื่อนผู้ร่วมเรือนจำคนหนึ่งที่เปรียบเสมือน “คนหาของ” ในคุก พร้อมกับเอ่ยประโยคคำพูดแรกกับเรด เพื่อให้เรดหาของให้กับเขา และนี่ก็เป็นเรื่องราวของมิตรภาพ ความหวัง และความรุนแรง ภายใต้โลกอีกแห่งหนึ่งของแอนดี้กับ “The Shawshank Redemption
สิ่งที่ทำให้เราแนะนำเรื่องนี้ให้เป็นหนังสร้างแรงบันดาลใจ Netflix เรื่องแรกที่อยากแนะนำ นั่นก็เพราะว่าเป็นหนังที่เรียกได้ว่ายกทุกๆ คำชมให้กับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเสียดสีสังคม สร้างแรงบันดาลใจ สร้างความลุ้นระทึก และรวบรวมเทคนิคต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งแก่นและสิ่งที่หนังต้องการจะบอกทุกอย่างในเรื่องนี้ ดีจนไร้ที่ติ สิ่งที่หนังกำลังบอกและพยายามสื่อกับคนดูอย่างเราๆ ให้เห็นถึงคำง่ายๆ สั้นๆ แต่ทรงพลังที่สุด นั่นก็คือ “ความหวัง”
สิ่งที่เรื่องนี้กำลังบอกและถ่ายทอดออกมาเลยนั้น กำลังจะบอกถึง “ความหวัง” และ “เสรีภาพ” ที่เป็นของคู่กัน หากใครที่ได้อ่าน Novella ด้วยนั้น จะยิ่งเห็นภาพและความชัดเจนของหนังเรื่องนี้เข้าไปอีก The Shawshank Redemption เป็นหนังที่ทำให้เราเข้าใจว่า “ถึงชีวิตมันจะแย่ขนาดนั้น
อย่างน้อยความหวังก็คงเป็นเหมือนแสงไฟเล็กๆ ที่คอยนำทางให้ชีวิตเราไม่มืดกว่าที่เป็นอยู่”
เรื่องที่ 2: Forrest Gump (1994)
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 8.8 / 10
คะแนนที่ได้รับจาก Rotten Tomato: 71% TOMATOMETER 95% AUDIENCE SCORE
คะแนนจากนักเขียน: 4.5 / 5
ข้อคิดที่ได้: การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และไม่คาดหวังต่อสิ่งที่มากไม่เห็น
Link สำหรับการรับชม: https://www.netflix.com/watch/60000724
ถ้าจะให้ยกหนังหนังสร้างแรงบันดาลใจ Netflix ที่เรียกได้ว่าไม่ควรรพลาดเลยละก็ เราเชื่อว่าจะต้องมีคนนึกถึงเรื่องนี้เป็นแน่ ที่ว้าวไปกว่านั้นยังได้รับ Best Pictures จากเวทีออสการ์ในปดังกล่าวมาแล้ว และแน่นอนเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราอยากจะแนะนำให้สาวๆ ได้รู้จักกันนั่นก็คือ “Forest Gump”
กับประโยคหรือ Quote หนังสุดฮิตที่ซึ้งและกินใจใครหลายๆ คน ไม่เพียงแค่นั้น ยังเป็นประโยคที่สื่อความหมายและความเป็นไปในชีวิตได้ดีอย่าง “Life was like a box of chocolates. You never know what you’re gonna get.” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “ชีวิตคนเราก็เหมือนกล่องช็อคโกเล็ตนั่นแหละ เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเปิดมาแล้วจะเจอกับอะไร”
Forest Gump เรื่องราวของ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มี IQ เพียง 75 (ถือว่าต่ำกว่ามาตราฐานเป็นอย่างมาก) อีกทั้งในตอนเด็กเขาเป็นเด็กพิการในด้านกระดูกขาทำให้ต้องใส่เครื่องช่วยตลอดเวลา
แต่ทว่าชีวิตของเขาเกิดการผลิกผัน จากเด็กชายพิการ เติบโตสู่การเป็นทหารรับใช้ชาติ และกลายมาเป็นวีรบุรุษที่กอบกู้ชาติ เป็นเศรษฐีบ่อกุ้ง และเป็นกลุ่มผู้นำเรื่องสันติภาพ จนมากลายเป็น “นายกัมพ์”
สิ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ที่ควรดูเรื่องนี้เลยคือ สิ่งที่กัมพ์คิด ทำให้เรารู้ได้ว่าชีวิตคนเราไม่ได้มีอะไรเลย เราไม่สามารถควบคุมอนาคตหรือสิ่งที่มันจะเกิดได้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าในอนาคตข้างหน้าเราจะเจออะไร แต่สิ่งที่เราทำได้คือ โฟกัสและทำในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด ซึ่งกัมพ์ก็ทำอย่างนั้นมาเสมอ
และสิ่งที่น่ารักที่เราสังเกตได้เลยก็คือ ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ไม่ได้ฉลาดหรือมีความคิดเท่าคนปกติทั่วไป แต่สิ่งที่กัมพ์ทำให้เราเห็นเลยคือ กัมพ์ไม่เคยทำตัวเป็นภาระ หรือ ทำตัวไม่ดีกับใคร เขาเต็มที่และวางตัวของเขาได้ดี นอกจากนั้นเขาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไม่บกพร่องหรือมีที่ติ ด้วยเหตุนี้เราเลยอยากแนะนำ หนังสร้างแรงบันดาลใจ Netflix เรื่องนี้ เพราะเหมาะกับการเริ่มต้นเดือนใหม่ในปีใหม่และนั่นทำให้เราเข้าใจความหมายของ Quote ที่กัมพ์บอกว่า “ชีวิตก็ไม่ต่างไปจากกล่องช็อคโกเล็ตหรอก”
เรื่องที่ 3: Intern (2015)
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.1 / 10
คะแนนที่ได้รับจาก Rotten Tomato: 59% TOMATOMETER 73% AUDIENCE SCORE
คะแนนจากนักเขียน: 4.5 / 5
ข้อคิดที่ได้: ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม / Work Life Balance คือสิ่งสำคัญ
Link สำหรับการรับชม: https://www.netflix.com/watch/80047616
หนังสร้างแรงบันดาลใจ Netflix ที่เหมาะมากกับใครที่ท้อใจหรือมีความคิดเหนื่อยหน่ายกับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ และเรื่องนี้ก็คือ “Intern” เป็นเรื่องราวของ “เบน” ชายแก่วัย 70 ที่เบื่อหน่ายกับการอยู่บ้านและหายใจทิ้งไปวันๆ เขาเลยตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ Senior Citizen Intern ของบริษัท About The Fit บริษัทสตาร์ทอัพธุรกิจแฟชั่นออนไลน์ ที่จะคัดเลือกผู้มีประสบการณ์การทำงานวัยเกษียณมาเข้าฝึกงานที่บริษัทแห่งนี้
และนั่นเป็นจุดเริ่มของการพบกับ “จูเลียส” เจ้าของบริษัทวัย 30 กว่า ที่กราฟความรุ่งพุ่งแรงแซงไม่มีหยุด ธุรกิจของเธอเป็นไปได้ด้วยดีและน่าชื่นชม เพราะอย่างนั้นทำให้เธอแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรเลย และด้วยความที่ยุ่งจนหัวหมุน ทำให้เธอถูกบีบให้ว่าจ้าง CEO มาช่วยแบ่งเบาภาระของเธอ
มิหนำซ้ำ จูเลียสยังประสบปัญหา Work ไร้ Balance ในชีวิต ถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิง
แต่ทว่าหน้าที่ในบ้านเธอดันกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่แบ่งหน้าที่การจัดการดูแลบ้านและลูกไปที่สามีของเธอ ด้วยเหตุนี้ทำให้เบนได้เข้ามาดูแลและจัดการชีวิตที่ยุ่งเหยิงนี้ของเธอเสียใหม่ จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้เกิดมิตรภาพเล็กๆ ระหว่างเธอและเขาขึ้น
บอกเลยว่าหนังสร้างแรงบันดาลใจ Netflix เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหมาะอย่างยิ่งกับสาวคนไหนที่ตามที่ทำงานโดยไม่ได้คำนึงถึงความ Balance ในชีวิต อีกทั้งกำลังเบื่อหน่ายกับการเรียนรู้และเติมสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิตเราเสมอ จูเลียสเป็นตัวแทนของพนักงานออฟฟิศไฟแรงที่ทำแต่งานจะละเลยหน้าที่และการดูแลตัวเอง ซึ่งเราหลายคนในปัจจุบันเป็นเช่นนั้น เพราะซึ่งความ Balance ในชีวิตเป็นหน้าที่ และสิ่งที่สามารถบอกกับเราได้ว่า เราทำหน้าที่ในชีวิตของเราได้ดีมากน้อยเพียงใด
ส่วนเบนเป็นตัวแทนของคนที่ไม่หยุดนิ่ง หลายต่อหลายครั้ง เรากลับคิดว่าอายุเท่านี้แล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้ แต่หารู้ไม่ว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข ตราบใดที่เรายังมีลำหายใจ เราสามารถขยับร่างกายได้ นั่นก็แปลว่า เรายังสามารถเติมเต็มความรู้และเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ให้ชีวิตเราอยู่เสมอ
เรื่องที่ 4: The terminal (2004)
คะแนนที่ได้รับจาก IMDb: 7.4 / 10
คะแนนที่ได้รับจาก Rotten Tomato: 61% TOMATOMETER 74% AUDIENCE SCORE
คะแนนจากนักเขียน: 4 / 5
ข้อคิดที่ได้: ต่อให้เรื่องที่เจอจะแย่ซักแค่ไหน ขอให้มีรอยยิ้มและคิดบวกเอาไว้ ทุกอย่างจะดีขึ้น / เวลา จะช่วยให้ทุกอย่างเหมาะสมและดีขึ้นเอง
Link สำหรับการรับชม: https://www.netflix.com/watch/60034584
หนังสร้างแรงบันดาลใจ Netflix เรื่องสุดท้ายที่เรากล้าพูดได้เลยว่าเป็นอีกหนึ่งหนังที่ทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติการมองโลกที่มันเลวร้ายสักเพียงใด ให้เราลองมองหาจุดดีเล็กๆ ของมันให้เจอ เพียงแค่นั้นจะทำให้เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดของทุกพอทุเลาลงได้บ้าง นอกจากเรื่องการมองโลกในแง่ดี ยังมีอีกหนึ่งหนังที่ทำให้เราเข้าใจว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่จะช่วยทุกอย่าง
และเรื่องนี้ก็คือ The Terminal เรื่องราวของ “วิกเตอร์” ชายผู้อาศัยในโซนยุโปรตะวันออก เขามีธุระจะต้องเดินทาง และทำให้ต้องมาที่สนามบิน JFK กรุงนิวยอร์กประเทศอเมริกา แต่ทว่าในขณะที่เขาเดินทางมาถึงนั้น ทางการประกาศว่าบ้านเกิดของเขาเกิดการจลาจลที่ร้ายแรง ทำให้ทางการประกาศยกเลิก Visa ของเขา
ไม่เพียงแค่นั้น เขาไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้ โดยสิ่งที่เขาสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฏใดๆ นั่นก็คือ อาศัยอยู่ในอาคารผู้โดยสารของสนามบินไปเรื่อยๆ จนกว่าทางการจะมีกำหนดออกมา และนั่นทำให้วิกเตอร์ต้องใช้ชีวิตลำบากในสนามบินเพียงลำพัง
หากใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้แล้วละก็ เราจะได้ยินคำพูดติดหูที่พระเอกของเรื่องพูดนั่นก็คือ “ไม่เป็นไร ผมรอได้” สิ่งนั้นทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบว่าทุกอย่างต้อง รอเวลา รอจังหวะ และรอให้มันเป็นไปตามเวลาที่เหมาะสม (ความรักก็เช่นกัน)
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่เราได้การเรียนรู้จากหนังเรื่องนี้อีกอย่างหนึ่งคือ ถึงแม้สถานการณ์ตรงหน้าหรือสังคมมันจะเลวร้ายและบีบบังคับเรามากแค่ไหน หากเรามองหาจุดดีเล็กๆ ของมันให้เจอ เราจะสามารถอยู่และพยายามมีความสุขไปกับมันได้โดยที่เราไม่เดือดร้อนอะไรเลย
ก็อย่างว่าไม่ต่างอะไรกับชีวิตเราที่ถึงแม้บางครั้งมันจะยาก แต่ถ้าเรามองหาข้อดีและรอเวลา เราจะมีความสุขกับมันได้ถึงมันจะเหนื่อยหน่อยก็ตาม
Photo Credits:
Stay connected