สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน เนื่องจากไม่กี่วันที่ผ่านมาเราได้มีการเห็นอัพเดตซีรีส์และหนังเข้าใหม่ใน Netflix พร้อมรีวิวคดีการหายตัวไปที่มีชื่อเสียง อย่างคดีของ Elisa Lam กันไปแล้ว และนั่นทำให้เกิดความสนใจอยากจะมาแนะนำลิสต์ซีรีส์นี้ขึ้นกับ “3 ซีรีส์สืบสวน แนะนำ บน Netflix ที่สร้างจากข่าวและเรื่องจริง คอสืบสวนไม่ควรพลาด!” บอกเลยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้สร้างมาจากเรื่องจริง ที่บางคดีก็ทำเอาเราตกใจไม่แพ้กัน และบอกเลยว่าคอหนังและซีรีส์สืบสวนไม่ควรพลาด ไปเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
“3 ซีรีส์สืบสวน แนะนำ บน Netflix ที่สร้างจากข่าวและเรื่องจริง “
**คำเตือน! บทความนี้มีการเผยแพร่เนื้อหาสำคัญ หากใครยังไม่ดูโปรดหลีกเลี่ยง
เรื่องที่ 1: Unbelievable (คลิกเพื่อรับชม)
สร้างจากคดี: การข่มขืนอย่างต่อเนื่อง
คะแนนจาก IMDb: 8.4 / 10
คะแนนความลุ้นของเรื่อง: 5 / 5
ซีรีส์สืบสวน แนะนำเรื่องแรกที่อยากให้สาวๆ คอสืบสวนได้ดูกันนั้น บอกเลยว่าเป็นซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริง เรื่องแรกๆ ใน Netflix ที่เราให้คะแนนเต็มแบบไม่หักเลยซักคะแนนเดียว เพราะการตีความของเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกไม่ว่าจะทั้งตัวนักแสดงหรือการดำเนินคดี ทำให้เราเข้าใจสภาพจิตใจของเหยื่อได้ดีเยี่ยมจริงๆ และนี่ก็คือ “Unbelievable” เป็นซีรีส์ที่สร้างมาจากเรื่องจริง
โดยอ้างอิงจากบทความที่มีชื่อว่า “An Unbelievable Story of Rape” ในช่วงปี 2015 เป็นเรื่องราวของคดีข่มขืนในรัฐวอชิงตันและโคโลราโด พูดถึงเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่มีชื่อว่า มารี แอดเลอร์ แจ้งความกับตำรวจว่าเธอถูกชายแปลกหน้าสวมหมวกคลุมสีดำ เข้าทำร้ายและข่มขืนเธอในห้องพัก จากเรื่องราวดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ทว่าเมื่อคำให้การของเธอนั้น ในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน แถมหลักฐานต่างๆ ไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะฟันธงได้ว่าคนร้ายคือใคร อีกทั้งมีจุดที่ทำให้ใครต่อใครคิดว่า เรื่องราวที่เธอกล่าวนั้น เป็นเรื่องจริงหรือเพียงสร้างเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจกันแน่?
Unbelievable เป็นซีรีส์สืบสวน แนะนำ น้ำดีที่ NETFLIX ทำออกมาได้สุดยอด หาที่ติไม่ได้ ความสุดยอดใน ณ ที่นี้ไม่ใช่แค่การนำบทความเพียงไม่กี่บรรทัด มาย่อยและบรรยายเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ของเรื่องนี้ออกมาได้อย่างชัดเจน (ประหนึ่งเห็นภาพเหตุการณ์จริง) จนเป็นซีรีส์ที่ละสายตาไม่ได้เลยซักตอนเดียว แต่ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจกับซีรีส์เรื่องนี้นั่น คงเป็นการตีแผ่ช่องว่างและจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรม ที่มาพร้อมกับคำให้การที่มีผลต่อสภาพจิตใจของเหยื่อ
ซึ่งตลอดเวลาที่ดูนั้นทำให้เรารู้สึกได้ว่า สิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเหยื่อมากไปกว่าเหตุการณ์ที่เจอนั่นก็คือการรื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้าย ซ้ำไปซ้ำมา มันไม่ผิดที่ตำรวจจะคอยเฝ้าถามถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อการทำงาน แต่ทว่า “เหยื่อโดนทำร้ายจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว มิหนำซ้ำยังต้องโดยทำร้ายจากตำรวจอีก” เพราะเหตุนี้มันไม่แปลกเลยว่าทำไมบางครั้งเราถึงเลือกที่จะปล่อยผ่านหรือไม่พูดถึงบางเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจเรา
แต่สิ่งที่ทำให้เรามองเห็นมากไปกว่าสภาพจิตใจของเหยื่อแล้วละก็ นั่นก็คือ จุดอ่อนและช่องว่างของกระบวนการยุติธรรม อย่างตำรวจในเรื่องนี้เป็นต้น หลายครั้งที่คดีข่มขืน หรือ การถูกละเมิดทางเพศนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นการสมยอมตั้งแต่ต้น ในที่สุดก็ถูกละเลยและปล่อยผ่านไป แต่ทั้งนี้ NETFLIX ได้นำเสนอ ความไม่เท่าเทียมและข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรมนี้ ผ่านคำพูดและการกระทำของตำรวจในช่วงวาระที่ห่างกัน สิ่งที่เราได้เห็นจากเรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า “ตำรวจดี ตำรวจเลว” คืออะไร
ไม่ใช่ตำรวจที่พูดจาดี หรือ ตำรวจที่วางท่าน่ากลัว แต่เป็นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่และสุดกำลัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริง มากกว่าตำรวจบางคนที่คิดแค่ว่าเรื่องบางเรื่องมันเสียเวลาเกินกว่าจะลงมือทำ สิ่งเหล่านี้เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนในซีรีส์ แต่ที่ดีเยี่ยมไปกว่านั้นก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจสาวทั้งสองนาย (ตัวละครหลัก) ที่ทำหน้าที่ในการรวบรวมหลักฐานอันน้อยนิดและไม่ชัดเจน จนสืบค้นเจอหลักฐานชิ้นสำคัญและความน่าจะเป็นของคนร้าย
จากคำให้การเพียงไม่กี่คำของเหยื่อ และ ความตั้งใจในหน้าที่ ถึงแม้มันจะมองไม่เห็นความเป็นไปได้ก็ตาม สรุปแล้วซีรีส์สืบสวน แนะนำเรื่องนี้ เราขอยกให้เป็นที่หนึ่งในใจเราเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ 2: Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel (คลิกเพื่อรับชม)
สร้างจากคดี: การหายตัวไปของ Elisa Lam ที่ LA
คะแนนจาก IMDb: 5.9 / 10
คะแนนความลุ้นของเรื่อง: 3.5 / 5
และต่อมาเป็นซีรีส์สืบสวน แนะนำ ที่สร้างจากเรื่องจริงเป็นเป็นอีกหนึ่ง Documentary ที่น่าสนใจ เพราะเป็นคดีที่สะเทือนขวัญ, ระทึกขวัญ และสร้างปริศนาให้กับผู้ติดตามทั่วทุกมุมโลกไม่พ้นแม้แต่ประเทศไทยเราเอง และเรื่องนี้คือ “Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel”
เป็น Documentary หรือสารคดี บอกเล่าพร้อมเผยแพร่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวสาวฮ่องกง วัย 21 ที่อาศัยในแคนาดา เธอมีชื่อ Elisa Lam เธอเป็นหญิงสาวชาวฮ่องกงที่อพยพมาอาศัยอยู่ในประเทศแคนาดา เธอตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวโดยมีเส้นทางการท่องเที่ยวคือจากซานดิเอโด – ลอสแอเจลิส – ซานตาครูช – ซานฟรานซิสโก
ซึ่งเธอขาดการติดต่อกับครอบครัวและหายตัวไป โดยสถานที่สุดท้ายที่รู้ข่าวจากเธอคือ ลอสแอเจลิส โดยคดีการหายตัวไปของเธอนั้น เป็นที่จับตามองและสร้างเสียงฮือฮาให้กับคนทั่วโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะ LA แต่ประเทศไทยเองก็ให้ความสนใจเช่นกัน สิ่งที่ทำให้คดีนี้เป็นที่น่าสนใจนั้น ไม่ใช่แค่คลิป Footage จากกล้องวงจรปิดที่เหล่าสังคมออนไลน์ได้เห็น ยังรวมถึงการบทสรุปก่อนที่จะปิดคดีอีกด้วย
อย่างแรกเลยเราต้องขอชมเชยและยกย่องการทำงานของเหล่าทีมงานที่ค้นหาข้อมูลต่างๆ ก่อนที่จะนำทำเป็นสารคดีซีรีส์สืบสวน แนะนำอย่างเรื่องนี้ ในส่วนของเนื้อเรื่องอาจไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากซักเท่าไร เป็นการดำเนินเรื่องโดยมีภาพเหตุการณ์จริง ถ่ายทอดและสลับกับคำให้การพร้อมการบอกเล่าความรู้สึกของเหล่าผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ในคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการโรงแรม, แขกและนักท่องเที่ยวในช่วงเวลานั้น, ตำรวจที่ทำคดี, ชาวบ้านที่อยู่ในย่านนั้นมานาน หรือแม้กระทั่งกลุ่มคนประชาชนทั่วไป ที่เปรียบเสมือนแกนหลักในการออกความคิดเห็นและสืบคดีไปพร้อมกับทางการ
สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า Netflix ทำมันออกมาได้ดี คือการเก็บรายละเอียดคำให้การ ประติดประต่อร้อยเรียงกับการจำลองสถานการณ์ และ ข้อมูลที่มาจากเรื่องจริงของฝั่ง Elisa Lam เอง เมื่อตำรวจพูดถึงการ Tracking หรือ ตามรอยที่มาว่าตัว Elisa นั้นเป็นคนอย่างไร, พบเจออะไรมา ภาพจะสลับไปเป็นการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง ที่ Elisa ใช้ Tumblr เสมือนเป็น Diary Online ของเธอ
ซึ่งข้อมูลตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่ทำให้ทางการประกอบสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน และหากถามถึงความหลอนหรือความน่าขนลุกมีบ้างหรือไม่ เราขอตอบตรงนี้เลยว่า มี! แต่อาจไม่ได้เทียบเท่าหนังสยองขวัญทั่วไป สิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นก็คงหนีไม่พ้น Sound ประกอบและภาพจำลอง ที่ทำให้เรารู้สึกถึงการยังมีชีวิตอยู่ของเธอ หากพูดถึงการดำเนินเรื่อง, การลำดับขั้นตอนของสารคดีเรื่องนี้
ส่วนตัวเรามองว่า Netflix ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว สุดท้ายนี้สำหรับเราสารคดีเรื่องนี้หยิบยกเอาเรื่องราวของ Elisa Lam ขึ้นมาเป็นประเด็นหลัก สะท้อนให้เห็นถึงจุดบกพร่องและความจริงจากสังคมบางอย่าง ที่คนอื่นอาจมองข้ามได้เป็นอย่างดี โดยไม่หลุดจากประเด็นหลักไปเลย ถึงแม้รูปแบบการเล่าเรื่องจะยังคง Documentary ทั่วไปบ้างก็ตาม
เรื่องที่ 3: Mindhunter (คลิกเพื่อรับชม)
สร้างจากคดี: คดีฆาตกรต่อเนื่องชื่อดัง (หลากหลายคดี)
คะแนนจาก IMDb: 8.6 / 10
คะแนนความลุ้นของเรื่อง: 4 / 5
ซีรีส์สืบสวน แนะนำเรื่องสุดท้ายนี้ เป็นซีรีส์แนวสืบสวนจิตวิทยาอีกเรื่องที่ได้รับการกำกับจากผู้กำกับภาพยนตร์ระดับออสการ์ และเรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับหนังสืบสวนมือทองก้องโลกเลยก็ว่าได้ อย่าง “เดวิด ฟินเชอร์” โดยซีรีส์เรื่องนี้เป็นการนำเรื่องจริง ใน Part การสืบสวน สอบปากคำฆาตกรหรือผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นคดี Edmund Kemper ฆาตกรต่อเนื่องหรือนักชำแหละศพที่หาตัวจับได้ยาก, Jerry Brudos ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่า 4 ราย และคดีฆาตกรที่มีความซับซ้อนทางความคิด และ คำพูดอีกมากมาย
และเรื่องนี้จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจาก “Mindhunter” โดยซีรีส์เรื่องนี้เป็นการนำเรื่องราวของ Ford ในแง่มุมการทำงาน, สังคม, เพื่อนร่วมงาน, ความรัก และฆาตกรที่เขาเคยสอบปากคำ
มาตีแผ่และนำเสนอเป็นซีรีส์ที่รวบรวมเรื่องราว พร้อมคำสารภาพของฆาตกร
โดยสิ่งที่ทำให้ซีรีส์สืบสวน แนะนำเรื่องนี้ มีสเน่ห์ที่น่าดึงดูดและน่าติดตามนั้น คงหนีไม่พ้นการนำเรื่องราวและคดีอาชญากรรมก้องโลกต่างๆ มารวบรวมเข้าด้วยกัน เราจะได้เห็นความสามารถในการสอบปากคำ ความคิดความอ่านของฆาตกร สาทะศิลป์ในเชิงจิตวิทยาทั้งผู้ร้ายและตัวเอกของเรื่องเองก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่เหมือนค่อยๆ แซะและแงะเข้าไปในก้นบึ้งของจิตใจฆาตกรเอง การเชิญชวนหรือการพูดอ่านใจของตัวเอกของเรื่องซึ่งทำออกมาได้เฉียบและเนี้ยบตามแบบฉบับของเดวิด (ทำให้เรารู้สึกถึงกลิ่นอายของหนังสืบสวนสร้างจากเรื่องจริงชื่อดังอย่าง Zodiac) นอกจากนั้นคำให้การของตัวฆาตกรเองก็ไม่น้อยหน้า เรียกได้ว่าจิตประทะจิตกันเลยทีเดียว
แต่มีจุดเดียวที่ทำให้เราหักคะแนนเรื่องนี้ คือ Conversation ของเรื่องเยอะมากก … กก บอกเลยว่า ถ้าสาวๆ คนไหนสนใจอยากดูเรื่องนี้ ต้องมีสติและไม่ง่วง (ฮ่าๆ) เพราะด้วย โทนสีของภาพมีความเทาหม่น อีกทั้งบทสนทนาโต้ไปมาระหว่างตัวเอกและคนร้ายนั้นมากเหลือเกิน
Photo Credit:
Stay connected