สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน สาวๆ เคยสงสัยกันไหมคะค่า งบประมาณในการถ่ายทำหนังเรื่องนึงนั้นจะมีเท่าไรกันเชียว และยิ่งหนังที่ถ่ายทำ Location เยอะๆ นี่งบประมาณต่างๆ จะต้องเยอะตามขึ้นไปด้วยน่าดู แต่! มีหนังอยู่ประเภทหนึ่งที่แทยไม่ต้องกังวลเรื่อง Location ในการถ่ายเลย วันนี้ Clubsister ขอเสนอ “เมื่องบมีจำกัด แต่หนังดันดี! แนะนำ 5 หนังโลเคชั่นเดียว แม้ถ่ายสถานที่เดียว แต่ก็ดังได้!” มาดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรบ้าง อย่ารอช้าไปเริ่มกันเลยค่า
“แนะนำ 5 หนังโลเคชั่นเดียว ถ่ายสถานที่เดียว แต่ก็ดังได้!”
เรื่องที่ 1: 12 Angry Men
Location: ห้องพักลูกขุน
เราขอยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังอันดับ 1 ในใจตลอดกาลและเป็นหนังหนังโลเคชั่นเดียวที่ยอดเยี่ยมที่สุด Angry Men หรือชื่อไทยคือ คนพิพากษา เป็นเรื่องราวของคณะลูกขุนทั้ง คน ที่ได้รับจดหมายจากศาล เพื่อให้พิจารณาคดีกับเด็กชายวัย 18 ปี ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมพ่อของตน โดยอาวุธที่สังหารนั้นเป็นมีดพับ 1 เล่ม กับคำให้การของชายแก่วัย 75 และหญิงวัยกลางคน
ก่อนที่จะไปเริ่มการรีวิว นั้นเราขออธิบายเรื่องคณะลูกขุนให้ได้เข้าใจกันก่อน คณะลูกขุนนั้น ตามกฏหมายของอเมริกาจะมีการจัดตั้งคณะลูกขุนจำนวน 6 – 12 ท่าน (ตามลำดับขั้นความรุนแรงของคดี) ซึ่งคณะลูกขุนทั้งหมดนั้น ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายแต่อย่างใด เป็นเพียงบุคคลธรรมดา ให้เข้ามีพิจารณาและไตร่สวนคดีจากคำให้การของทนาย, พยานและอัยการ โดยศาลนั้นเป็นผู้ที่อธิบาย กฏข้อบังคับที่จำเลยได้ถูกตั้งข้อกล่าวหาเท่านั้น
หากถามว่าทำไมถึงชอบหนังเรื่องนี้ ทั้งที่เป็นหนังที่ไม่ได้ดัง ไม่ได้เป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะว่า 12 Angry Men เป็นหนังขาวดำ ที่เต็มไปด้วยความคลาสสิกของการถ่ายทำ แถมหนังแทบจะปราศจากเทคนิคการถ่ายทำ ตามหลักของหนังสืบสวนสอบสวน จิตวิทยาทั่วไปเสียด้วยซ้ำ แต่เทคนิคเดียวที่หนังเรื่องนี้มีคือการถ่ายทำแบบหนังหนังโลเคชั่นเดียว โดยทั้งเรื่องนั้นเราจะได้เห็นแค่ชายทั้งหมด 12 คน นั่งถกเถียงกันว่าเด็กชายมีความผิดหรือไม่
แต่จากหนังนั้น เราจะได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่หนังพยายามสะท้อนและบอกกับเรา โดยสิ่งที่หนังต้องการจะบอกเลยก็คือ มนุษย์เรามักเห็นแก่ตัว มองตัวเองนั้นสำคัญเสมอ ซึ่งจากเรื่องชายแปลกหน้า 12 คนอยู่ในห้องเล็กๆสี่เหลี่ยมด้วยอากาศที่ร้อนอบอ่าว พัดลมในห้องเสีย ต่างคนต่างมีธุระที่สำคัญกว่าการตัดสินพิจารณาคดีที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง บ้างก็อยากออกไปดูเบสบอลนัดสำคัญ บ้างก็อยากกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ใน ณ ห้องนี้ทุกคนล้วนมีเหตุผล “ส่วนตัว” ที่ต้องไป นอกจากเหตุผลต่างๆ มากมายแล้ว ทุกคนล้วนมีเหตุผลในความคิดและการตัดสินของตนเองทั้งนั้น โดยเราลืมคำนึงไปเลยว่าเรากำลังเอาความคิดเห็นของเรา ตัดสินชะตาชีวิตของเด็กคนนึงอยู่
เรื่องที่ 2: Panic Room
Location: ห้องนิรภัยภายในบ้าน
หนังโลเคชั่นเดียวในเรื่องถัดไปที่เราอยากให้สาวๆ ได้ดูกันนั้น เป็นเรื่องที่เรียกได้ว่าเปิดตัวนักแสดงสาวมาดเท่ห์ชื่อดังอย่าง Kristen Stewart เลยก็ว่าได้ เพราะเธอได้รับการแจ้งเกิดจากการเป็นนักแสดงเด็กจากเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่นั้นหนังเรื่องนี้ยังเป็นอีกหนึ่งหนังที่สร้างความลุ้นระทึกให้กับคนดูอย่างเราไม่น้อยเลยทีเดียว และนี่ก็คือ “Panic Room”
เรื่องมีอยู่ว่า ‘เม็ก’ แม่ลูกติดที่เพิ่งจะหย่าขาดจากสามี หอบ ‘ซาร่าห์’ ลูกสาววัย 11 ปี ย้ายมาอยู่เมืองแมนแฮตตัน พอเหมาะพอเจาะกับเจอบ้านที่ถูกใจ และบ้านหลังที่ซื้อดันมีห้องนิรภัยซะด้วย
เมื่อเธอตกลงซื้อบ้านหลังนี้และพร้อมที่จะเริ่มใช้ชีวิตใหม่กับลูกสาว เพียงแค่ย้ายมาคืนเดียวก็งานเข้าเลย เพราะบ้านที่เธออยู่นั้นมีสมบัติมรดก ของเจ้าของบ้านคนเก่าทิ้งไว้ และบังเอิญพวกโจรก็ต้องการมันภายในคืนวันเดียวกับที่สองแม่ลูกเพิ่งจะย้ายเข้ามาพอดี
เรื่องนี้อาจจะไม่ได้เป็นหนังแนวทำร้ายร่างกายเหยื่อหรือกระทำทารุณ แต่เน้นความลุ้นระทึกกับการเป็นหนังโลเคชั่นเดียวเป็นส่วนมาก ลุ้นว่านางเอกจะรอดยังไง ลูกสาวจะรอดไหม หรือพวกโจรมีวิธียังไงที่จะให้ได้มาซึ่งของเหล่านั้น พอเรานั่งดูเราก็คิดนะว่าบ้านมันยังกับเขาวงกต เดี๋ยวเข้าทางนู้นออกทางนี้ โผล่ทางโน้น แต่มันก็แอบสอนเราเบา ๆ เกี่ยวกับการมีสติและการเอาตัวรอดหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน อีกทั้งยังมีเรื่องศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น 1 ในกลุ่มโจรจะไม่ยอมทำร้ายคนอื่นและแถมช่วยเหลือเหยื่อด้วย เอาเป็นว่าคนที่ชอบแนวลุ้นระทึก ไม่เน้นหวาดเสียวเลือดสาดขอแนะนำเรื่องนี้เลย
เรื่องที่ 3: Exam
Location: ห้องสอบ
หนังโลเคชั่นยอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งที่เมื่อนึกถึงหนัง One Location ยังไงก็ต้องมีเรื่องนี้ติดโผอันดับต้นๆ แน่นอน เพราะทั้งเรื่องไม่มีฉากอะไรเลยนอกจากสถานที่ที่ใช้เป็นห้องสอบของเรื่อง ให้ความรู้สึกอึดอัด กดดัน และหดหู่ไม่ต่างจากเนื้อเรื่องเสียด้วยซ้ำ
เรื่องราวพูดถึงบริษัทหนึ่งที่รับพนักงานใหม่ โดยเงื่อนไขคือให้ผู้สมัครทำข้อสอบในบริเวณห้องนี้ เมื่อถึงเวลาผู้คุมสอบก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมบอกกติกาในการสอบว่า “ในห้องนี้ไม่มีกฏอะไรห้ามได้ นอกจากกฏของเรา” โดยมีข้อที่ 1 ห้ามทำลายกระดาษข้อสอบของตนเอง ข้อที่ 2 ห้ามพยายามติดต่อกับบุคคลภายนอกและยามที่คุมการสอบ และข้อสุดท้ายคือห้ามเดินออกนอกห้องก่อนถึงเวลา และเมื่อตัวเลขของการเริ่มสอบทำงาน ผู้เข้าสอบทุกคนกลับพบว่า กระดาษข้อสอบตนเองล้วนว่างเปล่า และนี่คือที่มาของเกมการหาคำตอบของเรื่องนี้
ส่วนตัวเราชอบหนังโลเคชั่นเดียวอย่าง Exam มาก มันทำให้เราเข้าใจความเป็นมนุษย์มากเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ “มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่จำเป็นต้องอาศัยการอยู่ร่วมกัน แต่สุดท้ายก็คำนึงถึงการรอดของตนเป็นสำคัญ” ไม่เพียงแค่นั้นมันยิ่งทำให้เรารู้จักการเล่น Mind Game ของคนได้เป็นอย่างดี เมื่อการอยู่ร่วมกันของคนที่มากกว่า 2 คนขึ้นไป แน่นอนย่อมมีเสียงที่เห็นต่าง และเห็นร่วมกัน เมื่อเกิดข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้ง นี่แหละคือบททดสอบของคนที่จะอยู่อย่างไร โดยที่กระทบอีกฝ่ายให้ได้น้อยมากที่สุด
เรื่องที่ 4: Room
Location: ห้องขนาด 4×4
และหนังโลเคชั่นเดียวเรื่องถัดไปนี้ เป็นอีกหนึ่งหนังรางวัลที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์หลากหลายสาขามากมาย อีกทั้งเป็นหนังที่เรียกได้ว่าทั้งสร้างแรงบันดาลใจและรู้สึกหดหู่ไม่ต่างกันกับ “Room” เรื่องราวของ จอย เด็กสาวคนหนึ่งที่ในครั้งสมัยที่เธอยังเป็นเด็กสาวอายุวัย 14 ปี
เธอถูกหลอกเข้ามาในบ้านของชายแก่นามว่านิค โดยนิคหลอกจอยว่าให้เธอมาช่วยหมาที่กำลังป่วย ด้วยความขี้สงสารเธอถูกลักพาตัวและกักขังข่มขืนเป็นเวลานานถึง 7 ปี
จนในที่สุดจอยก็ให้กำเนิดเด็กชายคนหนึ่งซึ่งจอยตั้งชื่อให้เด็กน้อยคนนี้ว่าแจ็ค เธอรักและเลี้ยงดูแจ็คเป็นอย่างดี ภายในห้องเล็กๆ ขนาด 4×4 แต่ทว่าด้วยวันเวลาผ่านไปการอยากรู้อยากเห็น และการเจริญเติบโตของแจ็คเริ่มเพิ่มพูนขึ้นตามวัย นั่นทำให้จอยจึงมีความคิดที่อยากจะออกจากห้องสีเหลี่ยมที่สำหรับจอยมันคือขุมนรก แต่สำหรับแจ็คมันคือบ้านและโลกทั้งใบของเขา
ส่วนตัวเราชอบและประทับใจในหนังโลเคชั่นของเรื่องนี้มาก เรารู้สึกว่ามันให้ความประทับใจที่ตัวคนดูอย่างเราที่ในฐานะคนนอกที่มองเข้ามาในเรื่อง เรารู้สึกดีใจและตื้นตันที่จอยและแจ็คออกจากห้องเล็กๆ นั้นได้ แต่ทว่าหากมองในแง่แจ็คห้องสีเหลี่ยมเล็กๆ นั้น สำหรับเขาแล้วมันคือโลกทั้งใบ มันคือบ้านเพียงแห่งเดียวที่เขารู้จัก เขาใช้ชีวิตกับมันมาจนชิน สัมผัส กลิ่น เสียง และการรับรู้ต่างๆ นั้น ทำให้เขาสัมผัสความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกของเขาแห่งนี้ มันเลยทำให้เรารู้สึกหดหู่ได้ในเวลาอันเดียวกัน และสิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างของเรื่องนี้คือ การแสดงของ Jacob Tremblay ที่ดีและไร้ที่ติ
เรื่องที่ 5: Hush
Location: บ้านพักต่างอากาศ
หนังโลเคชั่นเดียวเรื่องสุดท้ายคือ HUSH หนังแนว Thirller, Horror ที่พูดถึง แมดดี้ นักเขียนนิยายแนวสืบสวนและระทึกขวัญที่มีชื่อเสียงติดอันดับนิยายขายดี แต่ทว่าเธอกลับเป็นสาวโชคร้าย พิการทางการได้ยิน (หูหนวก) ตั้งแต่เด็ก ถึงแม้เธอจะเข้ารับการผ่าตัดเพื่อแก้ไขสิ่งนั้นหลายครั้ง แต่มันก็ไม่สำเร็จ นั่นทำให้เธอมีอุปสรรคทางการได้ยินมาตลอดชีวิต แต่ในการใช้ชิวิต เธอจะสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงของวัตถุจากการสั่นสะเทือนของวัตถุนั้นๆ ทว่าในการเขียนนิยายของเธอนั้น เธอจะใช้การจินตนาการภาพและเสียงในหัวเธอ เพื่อกลั่นออกมาเป็นนิยายชิ้นดีของเธออยู่เสมอ
และในครั้งนี้แมดดี้เธอตั้งใจมาพักผ่อนที่บ้านพักที่ห่างไกลชุมชน เพื่อหนีจากแฟนเก่าและเพื่อตั้งใจเขียนนิยายของเธอต่อ แต่ทว่าในตอนกลางคืนหลังจากที่เพื่อนทาง Email ของเธอแวะมาหาที่บ้านแล้วลากลับไปนั้น เพื่อสาวได้ถูกโจรโรคจิตฆ่าอย่างเลือดเย็นที่หน้าบ้านของเธอ และทำให้โจรคนนั้นรู้ว่าเธอมีความบกพร่องทางการได้เย็น ด้วยเหตุนี้โจรคนนั้นหวังจะฆ่าเพื่อปิดปากเธอด้วยอีกคน
บอกเลยว่าเรื่อง HUSH เป็นหนังโลเคชั่นเดียวอีกเรื่องหนึ่งที่ลุ้น ระทึก หายใจไม่ค่อยเต็มปอด อีกทั้งทำเอาเราไม่กล้าหายใจ ไม่กล้าส่งเสียงตามไปด้วยซะงั้น เพราะนางเอกของเรื่องที่พิการทางด้านการได้ยิน จะต้องกระเสือกกระสนหาชีวิตรอดจากโจรโรคจิตที่ต้องการคร่าชีวิตเธอ สิ่งที่เธอทำได้คืองัดเอาการเอาตัวรอดที่เธอพอจะทำได้ มาเพื่อต่อกรกับโจรคนนี้
Photo Credits:
Stay connected