สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน ช่วงนี้พอ WFH นานๆ ไม่ได้ออกไปไหน ที่ทำงานกับที่บ้านเริ่มจะเป็นที่เดียวกัน กำลังใจมันก็จะหมดๆ ใช่ไหม? งั้นวันนี้ Clubsister ขอมาเติมกำลังใจในการทำงานและใช้ชีวิตกับสาวๆ กับ “5 ข้อคิดจากหนัง และซีรีส์ ที่จะเติมเต็มชีวิตทำงานให้มีความสุขขึ้น!” มาดูกันว่าจะมีเรื่องอะไรบ้าง และได้ข้อคิดอะไรที่เติมเต็มจิตใจเราบ้างค่า 

 

 “5 ข้อคิดจากหนัง และซีรีส์” ที่จะเติมเต็มชีวิตทำงานให้มีความสุขขึ้น! 

 

เรื่องที่ 1: Emily in Paris

ประเภท: ซีรีส์
ความยาว: 1 ซีซั่น

ข้อคิดจากหนัง

เรื่องแรกที่ต้องขอพูดถึงเลยคือ ซีรีส์ที่เรียกได้ว่าสร้าง Inspiration ในการทำงานและแฟชั่นแบบสุดๆ กับ Emily in Paris ซีรีส์ชื่อดังอีกหนึ่งเรื่องจาก Original Netflix พูดถึง “เอมมิลี่” Marketer สาว ที่ช่ำชองเรื่อง Online Marketing เธอได้รับโอกาสในการไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษางานที่ ปารีส ประเทศฝรั่งเศส แทนหัวหน้าของเธอที่ตั้งเพิ่งตั้งท้อง แต่ทว่าถึงแม้เธอจะมีความสามารถเพียงใด ก็มีความยากและบททดสอบหินๆ มาให้เธออยู่เสมอๆ

ข้อคิดจากหนัง

และแน่นอนข้อคิดที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นข้อคิดที่ว่า “การปรับตัวสำคัญ โดยวัฒนธรรมองค์กร หรือ ภาษา มีผลต่อการทำงาน” ถูกต้องแล้วค่ะ ในเรื่องสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเลยคือ ภาษาและวัฒนธรรมต่างๆ ที่เอมมิลี่เจอ อย่างแรกเธอไม่สามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้ และไม่เคยเรียนรู้วัฒนธรรมหรือรูปแบบการทำงานของที่นี่มาก่อน

นั่นเลยเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้พนักงานบางคน มองว่าเธอหยิงผยองและยโสกับการทำ Culture เดิมๆ มาใช้กับที่นี่ ด้วยเหตุทำให้เอมมิลี่ต้องรู้จักการปรับตัวเพื่อสามารถให้ตัวเองพอที่จะเข้ากับคนอื่นได้

 

เรื่องที่ 2: The Intern

ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 2 ชั่วโมง 1 นาที

ข้อคิดจากหนัง

ข้อคิดจากหนัง ในเรื่องที่ 2 นี้ บอกเลยว่าเป็นอีกเรื่องที่เราดูไม่ต่ำกว่า 3 รอบ เป็นอีกหนึ่งหนังที่เติมเต็มจิตใจและเพิ่มความอบอุ่นของหัวใจ ในช่วงที่เครียดๆ จากการทำงานได้เสมอ นั่นก็คือ The Intern เป็นเรื่องราวของ “เบน” ชายแก่วัย 70 ที่เบื่อหน่ายกับการอยู่บ้านและหายใจทิ้งไปวันๆ

เขาเลยตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ Senior Citizen Intern ของบริษัท About The Fit บริษัทสตาร์ทอัพธุรกิจแฟชั่นออนไลน์ ที่จะคัดเลือกผู้มีประสบการณ์การทำงานวัยเกษียณมาเข้าฝึกงานที่บริษัทแห่งนี้ และนั่นเป็นจุดเริ่มของการพบกับ “จูเลียส” เจ้าของบริษัทวัย 30 กว่า ที่กราฟความรุ่งพุ่งแรงแซงไม่มีหยุด ธุรกิจของเธอเป็นไปได้ด้วยดีและน่าชื่นชม เพราะอย่างนั้นทำให้เธอแทบจะไม่มีเวลาทำอะไรเลย

และด้วยความที่ยุ่งจนหัวหมุน ทำให้เธอถูกบีบให้ว่าจ้าง CEO มาช่วยแบ่งเบาภาระของเธอ มิหนำซ้ำ จูเลียสยังประสบปัญหา Work ไร้ Balance ในชีวิต ถึงแม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่ทว่าหน้าที่ในบ้านเธอดันกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่แบ่งหน้าที่การจัดการดูแลบ้านและลูกไปที่สามีของเธอ ด้วยเหตุนี้ทำให้เบนได้เข้ามาดูแลและจัดการชีวิตที่ยุ่งเหยิงนี้ของเธอเสียใหม่

ข้อคิดจากหนัง

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้เลยคือ “เวลาที่เราสอนงานใครใช่ว่าเราเป็นผู้ให้เพียงอย่างเดียว ในทางกลับกันเราเองก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากอีกฝั่งด้วยเช่นกัน” ในเรื่องนี้เบนเข้ามาเป็น Intern เพื่อศึกษาดูงานและเรียนรู้งานด้านเทคโนโลยี อีกทั้งเพิ่มคุณค่าให้กับวัยเกษียณของตน แต่ในทางกลับกับจูเลียสก็ได้เรียนรู้การใช้ชีวิต และการมีเพื่อนที่ดี ที่พร้อมจะเข้าใจและซัพพอร์ทเธอเสมอ

นอกจากเรื่องการให้และได้รับแล้วนั้น สิ่งที่หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เราเห็นเลยคงหนีไม่พ้นเรื่อง Work Life Balance ในชีวิต สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ เพราะงานไม่ใช่ทุกอย่าง

 

เรื่องที่ 3: The Secret Life of Walter Mitty

ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 1 ชั่วโมง 54 นาที

ข้อคิดจากหนัง

เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนังชี้นหิ้งที่เราขอให้สาวๆ ลองดูมันซักครั้งหนึ่ง นอกจากดีเด่นเรื่องภาพสวยแล้ว นัยยะและข้อคิดจากหนังที่กำลังจะบอกเรานั้นดีไม่แพ้กันเลยก็ว่าได้กับ “The Secret Life of Walter Mitty”

เรื่องราวของ “มิตตี้” พนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตกับการทำงานเดิมๆ วิถีเดิม ตำแหน่งเดิม หน้าที่เดิม มาตลอดระยะเวลาหลายปี เขาเป็นพนักงานที่เรียกได้ว่าแทบจะถวายชีวิตให้กับบริษัทเลยก็ว่าได้ แต่ทว่าสิ่งที่เขาได้รับก็เหมือนเดิมเงินเดือน, สวัสดิการและของขวัญเล็กๆ น้อยๆ นิดหน่อยในช่วงสิ้นปี

และแน่นอนในปีนี้ก็เช่นกัน เขาได้รับของขวัญจากหนึ่งในผู้บริหารบริษัทและเป็นผู้ทำหน้าที่ถ่ายภาพประกอบนิตยสารที่มิตตี้ทำงานอยู่ เขาเขียนคำอวยพรมิตตี้ผู้ซึ่งเป็นพนักงานที่ดีมาตลอด แต่ทว่าในขณะเดียวกัน เขาได้มอบหมายหน้าที่ในการตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่จำเป็นต่อบริษัทและอยู่ภายใต้หน้าที่การดูแลของมิตตี้ และนั่นเป็นสามารถที่มิตตี้จำต้องเดินทางไปตามหาฟิล์มม้วนสำคัญนี้

ข้อคิดจากหนัง

สิ่งที่เราชอบมากที่สุดของหนังเรื่องนี้เลยคือ ภาพวิวทิวทัศน์ของเรื่อง ที่สวยงามและพร้อมที่อยากจะให้เราไปเที่ยวอยู่เสมอ (ถึงแม้ตอนนี้จะบินไปไหนไม่ได้เลยก็ตาม) แต่นอกเสียจากวิวและทัศนียภาพในเรื่องแล้ว สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกเก็บเกี่ยวและได้ข้อคิดจากหนังนี้เลยคือ “การเดินออกจาก Save Zone ของตัวเอง และกล้าทำในสิ่งใหม่ๆ เพื่อค้นหาตัวเองอีกครั้ง”

มิตตี้เป็นเหมือนตัวแทนมนุษย์ออฟฟิศที่ทำงานตามหน้าที่ และหมด Passion ไปเมื่อไรก็ไม่รู้ สิ่งที่พวกเขาทำเพราะหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ทว่าการที่เขาได้ออกไปเจอโลกกว้างและได้ทำหน้าที่ใหม่ๆ เดินทางในที่ใหม่ๆ ทำให้เราค้นพบเส้นทางหรือความชอบเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองอีกครั้งหนึ่ง

 

เรื่องที่ 4: The Devil Wears Prada

ประเภท: ภาพยนตร์
ความยาว: 1 ชั่วโมง 49 นาที

ข้อคิดจากหนัง

ในเรื่องต่อไปเราบอกเลยว่าเราได้ข้อคิดจากหนัง ในช่วงเวลาที่เราเป็น First Jobber หรือเพิ่งค้นหาตนเองจากการทำงานในช่วงแรกๆ ได้ดีมาก แนะนำเรื่องนี้สุดๆ และบอกเลยว่า เป็นภาพยนตร์ Comedy, Drama ระดับตำนานที่ควรดูและดูซ้ำ เพื่อเป็นข้อคิดสะกิดใจในการเริ่มงานเลยก็ว่าได้

กับเรื่อง The Devil Wears Prada เรื่องราวของ “แอนดี้” นักศึกษาจบใหม่ไฟแรงที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นบก. นิตยสาร เมื่อเธอเรียนจบเลยตัดสินใจเข้ารับงานแรกโดยการเป็นเลขาหมายเลข 2 ของเจ้าแม่ยักษ์ใหญ่ในวงการแฟชั่นอย่างมิแรนด้า บก. นิตยสาร Vouge New York ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเธอเป็นตัวแม่ (จอมเขี้ยว) แห่งวงการนิตยสารแฟชั่น และด้วยเหตุนี้ทำให้เธอต้องรับมือกับตัวจี๊ดเบอร์ใหญ่ตัวแม่ พร้อมกับเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานที่ได้จากมิแรนด้าไปด้วย

ข้อคิดจากหนัง

และข้อคิดที่เราได้จากหนังเรื่องนี้คือ “เมื่อทำพลาดต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิด แก้ไข และปรับปรุงเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก” ในบางสังคมและองค์กร ไม่ได้มีใครคอยปลอบหรือโอ๋คุณตลอดเวลาเหมือนตอนเรียน สังคมการทำงานคือการจำลองโลกกว้างที่คุณต้องเจอ

ดังนั้นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และการทำผิดพลาดไม่ใช่เรื่องผิด แต่จงเก็บสิ่งเหล่านี้เอาไว้เป็นครูและเป็นบทเรียน เพื่อจะได้ไม่พลาดซ้ำ นอกจากนั้นเมื่อเราทำงานไปเรื่อยๆ เราจะรู้เองว่า งานที่เราทำนั้นใช่หรือไม่ใช่สำหรับเรา แต่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ อย่างน้อยมันได้มอบบทเรียนที่ล้ำค่าให้กับเราเสมอๆ

 

เรื่องที่ 5: Iteawon Class

ประเภท: ซีรีส์
ความยาว: 1 ซีซั่น

ข้อคิดจากหนัง

และข้อคิดจากหนังเรื่องสุดท้ายนั้น อาจจะไม่ได้มาจากหนังแต่มาจากซีรีส์เกาหลีแนวธุรกิจชื่อดังอย่าง Iteawon Class เรื่องราวพูดถึง “พัคแซรอย” เด็กหนุ่มวัยมัธยม ที่เข้าไปช่วยเพื่อนในชั้นที่กำลังโดนอันธพาลรังแก จนทำให้รู้ว่าเด็กที่เขาชกต่อยไปนั้นเป็นลูกชายของประธานบริษัทที่พ่อเขาทำงานร่วมกัน ด้วยความไม่เท่าเทียมและการอวดอำนาจใดๆ ทำให้พ่อของพัคแซรอย ตัดสินใจลาออกจากบริษัทและมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ ตามความฝันของเขา

แต่ทว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น พ่อของเขาเกิดถูกรถชน ทำให้พัคแซรอยตามสืบได้ว่า คนที่ขับรถชนพ่อของเขานั้น คือลูกประธาน เขาเลยบุกเข้าไปซ้อมเพื่อนคนนี้เกือบปางตาย พัคแซรอยถูกต้องโทษจับขังเป็นเวลาหลายปี แต่ทว่าพอออกมาจากคุก เขากลับวางแผนที่จะเปิดร้านอาหารตามความฝันของพ่อเขาอีกครั้ง โดยที่หินก้อนใหญ่อย่างประธานชางกา คอยล้มทับเขาอยู่ทุกเมื่อ

ข้อคิดจากหนัง

บอกเลยว่าข้อคิดที่ได้จากซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เรื่อง Marketing หรือ ความฝันอันแรงกล้า แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นคือ “การทำธุรกิจที่ดีไม่ใช่แค่เรารอดเพียงคนเดียว แต่ทุกคนที่อยู่กับเราต้องรอดไปด้วยกัน”

ดยสิ่งที่สังเกตง่ายๆ คือ การที่พระเอกของเราไม่ได้มองแค่ธุรกิจที่คือเรื่องเงินทอง หรือผลกำไรที่เขาต้องได้ แต่ทุกคนที่ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับเขา จะต้องมีเป้าหมายในชีวิตและพึงพอใจกับชีวิตที่พวกเขามีด้วยเช่นกัน และนี่แหละคือคำว่า “ประสบความสำเร็จ”

 

Photo Credits:

Comments

comments