สวัสดีค่าสาวๆ ชาว Clubsister ที่น่ารักทุกคน เหมือนเดิมอีกเช่นเคย มีเราก็ต้องมีรีวิวหนังเป็นของธรรมดา และเมื่อพูดถึงหนังแล้ว เราเชื่อว่าสาวๆ หลายคนอาจคุ้นหูกับคำว่า ชีวิตจริงยิ่งกว่าหนัง ยิ่งกว่าละครอีก เราก็ไม่เถียงเลย แต่สำหรับหนังบางเรื่อง เป็นเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริงและจนใครต่อใครคิดว่าชีวิตใครมันจะเป็นแบบนี้ได้ และในวันนี้ซิสมี “5 หนังสร้างจากเรื่องจริง “ หรือที่คอหนังเรียกกันว่า Biography ที่มนุษย์โลกจะต้องได้รู้ว่า มีเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น บอกได้เลยว่า สนุก มันส์ และได้ข้อคิดดีๆ กลับไปแน่นอน อย่ารอช้าเรามาเริ่มที่เรื่องแรกกันเลย
ประวัติศาสตร์ต้องจารึก 5 หนังสร้างจากเรื่องจริง ที่มนุษย์โลกต้องควรรู้
คำเตือน! มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญบางส่วน
เรื่องที่ 1: Catch Me If You Can
สร้างมาจากประวัติ: Frank Abagnale Jr.
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 8.1 / 10
หากพูดถึงหนังสร้างจากเรื่องจริง ที่เราคิดว่าเจ๋งและน่าทึ่ง จนน่าติดตามไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่นเลย เราก็ขอแนะนำ Catch me if you can เป็นหนังสร้างมาจากเรื่องจริง ที่ตีแผ่ชีวประวัติของอดีตเศรษฐีพันล้านชื่อดังอย่าง Frank William Abagnale Jr. เขาเคยเป็นอาชญากรยอดนักต้มตุ๋นที่มีอายุไม่ถึง 19 ปี ในเวลาเพียงแค่ 3 – 4 ปี ได้เปลี่ยนอาชีพมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 อาชีพ
อีกทั้งยังก่อคดีไปแล้วทั่วโลก หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สุดยอดของผู้กำกับมือทองอย่าง Steven Spielberg ที่จับนำเอานักแสดงมากความสามารถและเจ้าบทบาทไม่แพ้กับเจ้าของเรื่องอย่าง Leonardo DiCaprio และ Tom Hanks จับคู่เล่นควบกับ 2 บทบาท อย่าง แฟรงค์ เด็กชายวัย 16 ปีผู้ริเริ่มเป็นนักต้มตุ๋น โดยต้องหลบหนีการไล่ล่าของ คาร์ล FBI ไฟแรงผู้มองเห็นปัญหาจากจุดเล็กน้อยของคดีนี้
สำหรับเราคิดว่าเป็นคู่ปรับที่ค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อไม่ใช่น้อยเวลยทีเดียว
สิ่งที่เราชอบของเรื่องนี้มีอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกเลยคือ การนำเสนอเรื่องราวชีวประวัติอันน่าทึ่งที่รายละเอียดมีประมาณ 3 – 4 ปี มาย่อย, เล่า และสรุปอย่างละเอียดในทุก ๆ เหตุการณ์ที่สำคัญและเหตุการณ์ Support เล็กน้อยได้ค่อยข้างครบ แต่ไม่ยืดเยื้อและขมวดจบได้อย่างน่าทึ่ง อย่างที่สองเลย คือ การแสดงที่ดีเยี่ยมของนักแสดงทั้งสอง ที่กินกันไม่ขาดจริง ๆ (อยากรู้ว่าน่าประทับใจยังไงดูเอาเอง)
แต่ตัวละครอีกตัวหนึ่งที่เราชอบเลยคือ Christopher Walken หรือคุณพ่อของแฟรงค์ ฉากที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นอีกจุด Support หนึ่งที่คอยหนุนและส่งอารมณ์ให้ตัวเอกได้ดียิ่งขึ้น คือฉากที่อยู่บนโต๊ะอาหาร ตอนที่แฟรงค์บอกพ่อตัวเองว่าตนได้งานทำแล้ว
และสิ่งสุดท้ายเลยคือ ความประทับใจของสิ่งที่หนังต้องการบอกกับเราผ่านประวัติและหนังเรื่องนี้คือ ความสามารถของแฟรงค์ที่เขามี ถึงแม้เขาจะเป็นคนฉลาด แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เป็นคนที่มีวาทะศิลป์ คารมคมคายอย่างไร แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายใคร ฆ่าใคร หรือยุ่งเรื่องยาเสพติดใด ๆ เลย แม้แต่นิดเดียว
และนี่แหละคือหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของอดีตเศรษฐีพันล้านที่เคยเป็นอาชญกรเด็กที่อายุไม่เกิน 19 ปีคนนี้
เรื่องที่ 2: The Pursuit of Happyness
สร้างมาจากประวัติ: Chris Gardner
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 8.0 / 10
ถ้าจะให้ยกหนังสร้างจากเรื่องจริง ที่คอยช่วยเป็นแรงผลักดัน และเป็นต้นแบบทางความคิดในการใช้ชีวิตและทำงาน เราคิดว่าเรื่องราวของนักธุรกิจและนักพูด motivational ที่ประสบความสำเร็จอย่าง Chris Gardner เจ้าของบริษัท Gardner Rich & Co คนนี้นี่แหละ ที่น่าติดตามเป็นที่สุด The Pursuit of Happyness
เป็นหนังสร้างจากเรื่องจริง ที่ถูกนำมาทำเป็นหนังจากหนังสือเรื่องราวประวัติที่ใช้ชื่อเดียวกันของ Chris Gardner พูดถึงเรื่องราวของเขาในสมัยที่เขายังเป็นเซลล์แมนขายอุปกรณ์การแพทย์ แต่ทว่าด้วยเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ทำให้การค้าขายไม่ค่อยสู้ดีตามไปด้วย เงินที่เคยมีคริสก็ได้นำไปซื้ออุปกรณ์การแพทย์นี้ เพื่อหวังจะต่อยอดจนหมด บ้านก็กำลังจะถูกยึด บวกกับภรรยาของเขาก็กำลังจะขอแยกทางเนื่องจากแบกรับสภาพไม่ไหว
แต่ทว่าคริสถึงแม้ชีวิตจะรันทดยังไง เขาก็ไม่ย่อท้อ และไม่เคยทิ้งลูกชายที่เป็นเหมือนกำลังใจเดียวของเขา และนี่คือเรื่องราวการสู้ชีวิตของพ่อคนหนึ่งที่ ก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อโอกาสและความสุขของลูก
เรากล้าบอกเลยว่าเราดูหนังเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 4 รอบ ทุกครั้งที่เวลาหมดกำลังใจหรืออยากหาแรงกระตุ้น ก็จะย้อนกลับไปดูอยู่บ่อยครั้ง The Pursuit of Happyness เป็นหนังสร้างจากเรื่องจริงที่ทำให้เรารู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่น และความพยายามทุ่มเทของคนเป็นพ่อ ที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อความสุข และความฝันของลูก สิ่งที่น่าชื่นชมและชวนให้คนดูติดตามหนังเรื่องนี้เลย นอกจากบทที่ถูกสร้างและตีความออกมาได้เป็นอย่างดีแล้วนั้น
การแสดงของนักแสดงมากความสามารถอย่าง วิลล์ สมิธ นั้นเรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองมากที่สุด วิลล์ ตีบทแตกและถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆ ผ่านสีหน้า และแววตาให้คนดูอย่างเราได้เห็นถึงความรู้สึกของตัวละครนั้นๆ ได้ดี เขาสามารถเล่าเรื่องออกมาผ่านแววตาให้คนดูรับรู้ได้ว่า ตอนนี้เขาเหนื่อยแค่ไหน ตอนนี้เขาท้อแค่ไหน
แต่เมื่อเขาหันไปหาลูก เขาจะท้อไม่ได้ ไม่เพียงแค่นั้นสิ่งที่ทำให้เรารู้วึกชื่นชมหนังเรื่องนี้เลยคือ การเล่าเรื่องราวที่ตอนแรกมาบีบคั้นหัวใจเหลือเกิน และเมื่อถึงตอนจบความรู้สึกที่อึดอัดก่อนหน้านี้มันหายไปเป็นปลิดทิ้ง บอกเลยว่าคุ้มค่าที่ดูแน่นอน
เรื่องที่ 3: The Blind Side
สร้างจากประวัติ: Michael Oher, Leigh Anne Tuohy
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.6 / 10
หนังสร้างจากเรื่องจริงถัดไป เป็นหนังที่สะท้อนมุมมองและความรักของคนเป็นแม่ที่มีแต่ให้ พร้อมหวังดีให้ความรัก การดูแลเอาใจใส่ รวมไปถึงพร่ำสอนและชี้แนะแนวทางการใช้ชีวิตอย่างดีของ ลีแอนน์ The Blind Side เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของ บิ๊กไมค์ หรือ ไมเคิล ออร์ นักอเมริกันฟุตบอลผิวสีของทีม Baltimore Ravens ที่มีชื่อเสียงซึ่งไมเคิลเป็นนักกีฬาตัวอย่าง ที่บรรดาสื่อต่างๆ ต่างยกย่องให้เขาเป็น เพราะเขาไม่เคยมีข่าวไม่ดี ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย และไม่เคยเล่นนอกเกมเลยสักครั้ง
ถึงแม้พื้นเพเขาจะมาจากครอบครัวที่แตกแยกและมีปัญหา อาศัยอยู่ในสลัม และเคยเป็นเด็กเร่ร่อนมาก่อนก็ตาม แต่ทว่าในวันที่อากาศหนาวเย็น วันนั้นเป็นวันธรรมดาที่หนาวเหน็บของไมเคิลเหมือนเคย เขาไม่มีแม้กระทั่งบ้านที่สามารถสร้างความอบอุ่นได้
ลี แอนด์ นักธุรกิจสาวที่ชีวิตเพรียบพร้อม หยิบยื่นโอกาสให้กับไมเคิล โดยการช่วยเหลือและรับเลี้ยงเขา ไม่เพียงแค่นั้น ลี แอนด์เชื่อว่า คนเราทุกคนมีคุณค่าในตนเองเสมอ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสและความรักของคนที่เป็นแม่ ผู้ที่ไม่ได้ให้กำเนิด
The Blind Side เป็นหนังสร้างจากเรื่องจริงอีกเรื่องที่ดูกี่ครั้ง ก็น้ำตาแตกออกมาได้ง่ายๆ หนังถ่ายทอดให้เราเห็นว่า คนเราทุกคน วัดคุณค่าจากพื้นฐานชีวิตไม่ได้ เพราะดูได้จากไมเคิล เขามาจากครอบครัวที่มีแต่ความรุนแรง ที่บ้านไม่พร้อมหยิบยื่นความรักให้ ครอบครัวมีปัญหา ไม่มีบ้านอยู่ ได้แต่คอยหาที่แอบเพื่อพักพิง หรือ หาของกินเหลือๆ ประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น
แต่ในทุก ๆ วัน ไมเคิลกลับคิดว่า เขาไม่อยากอยู่แบบนี้ เขารู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่ดี เขาไม่เคยที่จะเดินตามรอยครอบครัวเดิมของเขาเลย ในอีกมุมหนึ่งสิ่งที่เราสัมผัสได้จากหนังเรื่องนี้เลยคือ คำว่าโอกาส เมื่อเราพอมีโอกาส ที่จะสามารถหยิบยื่นให้กับคนอื่นได้ จงทำเสีย เพราะถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำไปนั่นมันจะออกมาดี ตามที่เราคาดคิดหรือไม่ อย่างน้อยเราก็ได้ช่วยและทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งดีขึ้นจากวันแย่ๆ เดิมๆ เหล่านั้นได้ซักวัน
เรื่องที่ 4: The Imitation Game
สร้างจากประวัติ: Alan Turing
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 8.0 / 10
เป็นหนังสร้างจากเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่ง ที่เรียกได้ว่าระดับตำนานเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องหรือการแสดงดีระดับตำนานเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องราวและประวัตินั่นเป็นบุคคลระดับตำนาน ซึ่งทางสากลยกให้เป็นบิดาผู้ให้กำเนินต้นแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ ณ ปัจจุบันเลย นั่นก็คือเรื่องราวชีวิต ที่น่าเศร้าของ Alan Turing นักคณิตศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกกับเบื้องหลังการช่วยเหลือกองทัพอังกฤษให้รอดพ้นจากสงคราม
The Imitation Game เป็นเรื่องราวประวัติโดยย่อของ อลัน ทัวริ่ง นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษที่ถูกทางกองทัพหน่วยรบพิเศษเชิญตัวไป เพื่อเข้าร่วมการคิดค้นและถอดรหัสวิทยุของกองกำลังนาซีที่เข้าบุกยึดประเทศแถบยุโรปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเครื่องต้นแบบที่ทางเยอรมันใช้ส่งสัญญาณนั้นเรียกว่า อีนิกม่า และนี่คือภารกิจของเขากับทีมอีก 5 คนในการถอดรหัสลับนี้ให้ได้
บอกเลยว่าหนังสร้างจากเรื่องจริงเรื่องนี้ เป็นหนังที่เราดูแล้วรู้สึกสงสาร หดหู่ และเสียดายกับสิ่งที่อลันต้องเจอ หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นความไม่เปิดกว้างทางสังคม และความไม่เท่าเทียมทางเพศที่บุคคลสมัยก่อนต้องเจอ โดยตัวอลันเองเป็นคนเก่ง มีความสามารถ ฉลาด อีกทั้งยังช่วยป้องกันประเทศ แต่ทว่ากลับต้องถูกทางการลงโทษทางกฏหมายเพียงเพราะมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน
และนอกจากหนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าแต่ก่อนผู้หญิงมักเป็นฝ่ายที่ถูกตีตราวว่าไม่ได้มีความสามารถเท่าผู้ชาย และงานที่ผู้ชายทำ ไม่เหมาะกับผู้หญิง หนังเรื่องนี้ถ่ายทอดให้เห็นว่าอลันนั้นเกิดมามีความสามารถ ความแตกต่างที่เขาเป็นสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่ตัวเขาเองกลับไม่ได้รับความยุติธรรมที่จะสามารถให้มีชีวิตยืนยาวเพื่อเห็นสิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลงได้
เรื่องที่ 5: Schindler’s List
สร้างจากประวัติ: Oskar Schindler
ได้รับคะแยยจาก IMDb: 8.9 / 10
หนังสร้างจากเรื่องจริงเรื่องสุดท้าย ที่เราอยากแนะนำให้สาวได้ดูกันนั้น บอกเลยว่าเป็นหนังที่ติดอยู่ 1 ใน 50 อันดับหนังดี IMDb และเป็นหนังที่เรารู้สึกอิ่มเอมใจและหดหู่ใจในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นหนังที่เรียกได้ว่า สะท้อนประวัติศาสตร์จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ต้องจารึกไว้ในโลกนี้อีกด้วย นั่นก็คือ Schindler’s List หนังสร้างจากเรื่องจริงของ Oskar Schindler นักธุรกิจหนุ่มที่เข้ามาทำธุรกิจ และหวังเพียงผลกำไรจากแรงงานชาวยิว
แต่ทว่าในช่วงที่เขาลงมือทำงานของเขานั้น เขากลับฉุกคิดและรู้สึกถึงความโหดเหี้ยมที่มนุษย์มีให้กันเอง นั่นก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ด้วยเหตุนี้ Oskar Schindler จึงร่วมมือกับ Itzhak Stern สมุห์บัญชีชาวยิวที่ร่วมงานกับเขา จัดตั้ง Schindler’s List ลักลอบจ้างแรงงานร่วมชาติ เพื่อช่วยชีวิตชาวยิวส่วนหนึ่ง ให้รอดพ้นจากขุมนรกบนดินที่พวกเขาเหล่านั้นต้องเจอ
Schindler’s List เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี 1963 ซึ่งเป็นยุคการกระจายอำนาจของฮิตเลอร์ อีกทั้งเป็นยุคการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว โดยผลงานการกำกับเรื่องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Steven Spielberg ผู้กำกับมือทอง แห่งฮอลลีวูด ซึ่งบอกเลยว่าเป็นหนังขาวดำ ที่ภาพ แสง สี และ เงาดีจนจับคนดูได้อยู่มัดใน 3 ชั่วโมงเศษ แต่เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องถึงทำเป็นขาวดำ เพราะเนื้อหาในเรื่องนั้น โหดร้าย และ หดหูเกินกว่าจะใส่สีสันเข้าไปได้
และอย่างที่เรารู้กัน หนังสร้างจากเรื่องจริง เรื่องนี้นอกจากข้อดีที่แสงและเงาสวยนั้น ยังแฝงไปด้วยนัยยะอะไรบางอย่าง แทบจะตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งฉากนัยยะเด่น ๆ เลยคือ ฉากเด็กสาวชาวยิวเสื้อแดง เดินตามทางถนนที่เต็มไปด้วยทหารนาซี และเป็นฉากเดียวที่มีสีแดงโผล่ออกมา โดยฉากนี้สื่อถึงความบริสุทธิ์ ที่ถูกแปดเปื้อนไปด้วยความรุนแรงรอบข้าง (แค่คิดก็หดหู่แล้ว)
แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมกับหนังเรื่องนี้เลย คือ ความดีที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองของ Oskar Schindler และ Itzhak Stern ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่น่ายกย่องและควรจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ จริงๆ
Photo Credit:
Stay connected