สวัสดีค่าา .. สาวๆ ที่น่ารักทุกๆ คน วันนี้พบกันอีกแล้วและเช่นเคยเหมือนเดิมมาเจอเราก็จะต้องมีบทความเกี่ยวกับหนังและซีรีส์มาฝากกัน ช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเรื่องการชุมนุมที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 สิงหาที่ผ่านมา พอเราได้ดูข่าวแล้ว ก็บังเอิญไปได้ยินเพลงนึงที่เหล่าผู้ชุมนุมได้ร้องกันนั่นก็คือเพลง Do you Hear the People Sing? และด้วยเพลงนี้ ทำให้เราเกิดไอเดียอยากนำเสนอ “5 หนังเพลง น่าดู ที่คอหนังแฟนเพลงไม่ควรพลาด “ให้กับชาว Clubsister สักหน่อย บอกเลยว่าคอหนัง คอเพลงต้องชอบลิสต์นี้แน่นอน
แนะนำ 4 หนังเพลง น่าดู ที่คนรักหนังและชอบฟังเพลงไม่ควรพลาด!
เรื่องที่ 1: Begin Again
เพลงเพราะในเรื่อง: Lost Star
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.4 / 10
หนังเพลง น่าดูเรื่องแรกที่เราอยากจะแนะนำให้สาวๆ ได้รับชมและรับฟังไปพร้อมๆ กันเลย เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่า สร้างปรากฏการเพลงประกอบที่ดังในปีนั้นเลยก็ว่าได้ กับหนังเพลง น่าดูเรื่อง “Begin Again” จากผลงานการกำกับของ John Carney ผู้กำกับมือดี ฝีมือแพรวพราวในเรื่องการทำหนังเพลงเป็นที่สุด (ผลงานสร้างชื่อเลยคือ Once)
โดยเรื่องราวของ Begin Again พูดถึง “เกรต้า” (Keira Knightley) นักแต่งเพลงสาวที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ความฝันของเธอคือการเป็นนักแต่งเพลงและให้แฟนหนุ่มของเธอ “เดฟ” (Adam Levine) เป็นคนร้อง ในที่สุดเดฟก็ได้ถูกชักชวนเข้าเป็นนักร้องในค่ายดัง พร้อมกับเดินทางเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงพร้อมกับเธอ เธอคิดว่าเธอจะเริ่มต้นชีวิตและความฝันของเธอไปพร้อมกับเดฟที่แห่งใหม่นี้
แต่เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน เธอจับได้ว่าเดฟเปลี่ยนไป เหมือนมีใครอีกคน เธอจึงตัดสินใจย้ายออกจากที่พักและเริ่มต้นการเดินทางของตนเองใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเธอไปเจอโปรดิวเซอร์ไส้แห้ง
ที่ตกกระป๋องเพราะไม่เจอนักร้องดีๆ เข้าตาเลยสักคน อย่าง “แดน” (Mark Ruffalo) ด้วยการบังเอิญเจอกันในครั้งนี้ ทำให้การเริ่มต้นใหม่ของเธอและเขาเริ่มต้นด้วยกันอีกครั้ง
หนังเพลง น่าดูเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่า ให้ความรู้สึกหน่วงแบบบอกไม่ถูก หนังพยายามถ่ายทอดความรู้สึกของแต่ละตัวละครได้ออกมาเป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่นั้น หนังเพลง น่าดูเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่นำเสนอให้เห็นความหมายของการเริ่มต้นใหม่ได้ดีเสมอ เพราะว่าการเริ่มต้นใหม่ ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์หรือไม่มีอะไรเลย แต่การนำตัวเองออกมาจากจุดเดิม ก็ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีเหมือนกัน
ปูลู เรื่องนี้เราตามดูเพราะ 2 เหตุผล เหตุผลแรกเพราะผู้กำกับ อีกเหตุผลนึงเพราะนักแสดงนำ Adam Levine
เรื่องที่ 2: A Star is Born
เพลงเพราะในเรื่อง: I’ll Never Love Again
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 7.7 / 10
คำเตือน! ใครที่เป็นคน Sensitive กับเรื่องความรัก ร้องไห้ง่าย โปรดเตรียมทิชชู่ไว้ล่วงหน้า สำหรับการดูหนังเรื่องนี้
หนังเพลง น่าดูเรื่องถัดไป บอกเลยว่าเป็นหนังเพลงที่ได้รับรางวัลจากเวที Oscar 2019 มาแล้ว โดยเป็นหนังเพลง น่าดู ที่ขนเอานักร้องและนักแสดงมืออาชีพมาร่วมแสดงด้วยอย่าง Lady Gaga และ Bradley Cooper โดยในเรื่องนี้นักแสดงทุกคนจะต้องฝึกร้องและฝึกเล่นดนตรีเองตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเรื่องราวพูดถึง “แจ็ค” (Bradley Cooper) นักร้องและนักกีต้าร์วงร้อคชื่อดัง ที่กำลังพักผ่อนในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งจากการออกคอนเสิร์ต
และเหมือนเดิมเช่นเคย แจ็ค ผู้หลงรักในแอลกอฮอล์ ก็ไปเที่ยวบาร์ Drag Queen ที่หนึ่งจนพบกับ นางเอก Drag Queen ที่ชื่อ “อัลลี่” (Lady Gaga) นอกจากเธอจะทำงานเป็นนักแสดงในบาร์แล้วนั้น เธอยังเป็นผู้จัดการบริกรในโรงแรมอีกด้วย
แต่ทว่าในวันหนึ่งอัลลี่ทนไม่ไหวกับการกดขี่ข่มเหงในการทำงานจากหัวหน้า อัลลี่จึงตัดสินใจลาออกและเริ่มทำตามความฝันของตัวเองในการเป็นนักร้อง จนได้พบกับแจ็คอีกครั้ง ทั้งคู่หลงรักกันและกันในทันทีที่ได้เจอ และความรักของทั้งคู่ ก็ทำให้ความฝันของทั้งสองทั้งหน้าที่การงาน ที่มาพร้อมกับเส้นทางใหม่ในชีวิต
บอกเลยว่าหลังจากที่เราได้ดูหนังเพลง น่าดูเรื่องนี้จบ ร้องไห้และยังคงอินกับความรู้สึก ของตัวละครในเรื่องอยู่วันถึงสองวันเลยทีเดียว A Star is Born เป็นหนังเพลง น่าดู ที่ Remake มาจากหนังเก่าที่ใช้ชื่อเดียวกันเมื่อปี 1937 ที่นอกจากจะถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกของความรักทั้งสองตัวละครแล้วนั้น
สิ่งที่หนังได้ถ่ายทอด พร้อมตีแผ่ออกมานั้นคือการนำเสนอชีวิตของคนที่อยู่เบื้องหน้าเวที และเบื้องหลังของสิ่งต่างๆ ที่นักแสดง ศิลปินต้องเจอ
โดยเปรียบได้ว่า หากพวกเขาที่มีความฝันและรักในงานดนตรี เป็นแค่คนธรรมดาไม่มีใครสนใจ ก็คงไม่ต้องมีเจอเรื่องราวเหล่านี้ เขาคงใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาจะเป็นได้ มีความสุขกับสิ่งที่รัก และได้อยู่โดยกัน โดยไม่มีใครมาตีตรา
เรื่องที่ 3: La la Land (คลิกเพื่อชมภาพยนตร์)
เพลงเพราะในเรื่อง: City of Stars
ได้รับคะแนนจาก IMDb: 8.0 / 10
หากพูดถึงหนังเพลง น่าดู ในยุคสมัยนี้แล้วละก็จะนึกถึงเรื่องอะไรไปไม่ได้เลย นอกจากหนัง Musicial แห่งยุคที่คว้ารางวัลมากมายจากเวทีแห่งวงการภาพยนตร์มาไม่น้อยเลยทีดียว กับเรื่องนี้ “La La Land” หรือในชื่อไทยคือเรื่อง “นครดารา” ผลงานจากผู้กำกับหนุ่มที่มีฝีมือการกำกับหนังที่มีความเอ็นเอกลักษณ์อย่าง “Whiplash” มาก่อน ซึ่งในครั้งนี้ La La Land ขนเอานักแสดง Romantic, Drama จากหนังรักเรื่องดัง Crazy, Stupid, Love อย่าง Emma Stone และ Ryan Gosling
หนังเพลง น่าดู La la Land เป็นเรื่องราวของ “มีอา” (Emma Stone) สาวเสิร์ฟผู้มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงมืออาชีพ ในวันหนึ่งเธอไปเที่ยวบาร์กับเพื่อนสาวของเธอจนได้พบกับชายหนุ่มที่มาพร้อมกับเสียเปียโนที่ไพเราะจนเธอต้องหยุดหันมามองอย่าง “เซบ” (Sebastian) นักเปียโนในบาร์แจ๊สผู้มีความฝันอยากจะเปิดร้านแจ๊ส พร้อมกับเล่นดนตรีที่เขารักในร้านของตนเอง ทั้งคู่ตกหลุมรักซึ่งกันและกันในเวลาที่รวดเร็ว แต่ทว่าในเมื่อความฝันกับความรักมันไม่ได้ไปด้วยกัน ทั้งคู่จึงต้องหาทางออกกับคำถามเหล่านี้
La La Land หนังเพลง น่าดูเรื่องนี้ เป็นหนังแนว Musicial อีกเรื่องหนึ่งที่บอกเลยว่า เหมือนถ่ายทำออกมาเพื่อ คว้ารางวัลและทำมาเพื่อเป็นหนังรางวัลจริงๆ ไม่ใช่แค่บท แต่เทคนิคการถ่ายทำที่เน้นการถ่ายแบบ Lobg Take เป็นหลัก การใช้โทนสีเข้าช่วย เพื่อดึงอารมร์คนดูและเสริมบรรยากาศในฉากแต่ละฉาก ไม่เพียงแค่นั้นการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยของเรื่องอย่างเสื้อผ้า หน้าผม ที่องค์ประกอบทุกย่างมันดีไปหมด
นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ที่เกล่ามาแล้วนั้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้ La La Land เป็นหนังเพลง น่าดูเลยคือ สิ่งที่หนังต้องการสื่อออกมา เราเชื่อว่าปัญหาคู่รักหลายๆ คู่ มักมากจาเรื่องเหล่านี้ เช่น ความฝันและหน้าที่การทำงานมันไม่เป็นไปตามทางที่จะเดิน ถ้าเราอยากไปต่อ เราอาจจะจำเป็นต้องทิ้งความสุขบางอย่างไป หรือหากจะเลือกความสุข เราอาจจะต้องเสียโอาสในความฝันไป โดยเรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นำเสนอมุมมองความรักและความฝันออกมาได้ดีเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ 4: Les Misérables
Les Misérables เป็นหนังเพลง น่าดูอีกเรื่องที่สะท้อนให้เราเห็น ความเป็นอยู่ของประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบอบ “สาธารณรัฐ” ที่กษัติรย์(ไม่ได้) อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยอ้างอิงจากเรื่องจริงและประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง บอกเล่าผ่านชีวิตการเป็น “ทาส” ที่อยู่ภายใต้กฏหมายมาเป็นเวลานานของ ฌอง สิ่งที่ทำให้เราเห็นได้ชัดของหนังเรื่องนี้คือ “สิทธิและความไม่เท่าเทียม” ไม่ใช่แค่ในเรื่องของกฏหมายเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งนี้ทำให้ลามไปจนถึงเรื่องปากท้องของประชาชนที่อยู่
และสิ่งที่ทำให้เราประทับใจกับหนังเรื่องนี้เลยคือ เป็นการสะท้อนให้เห็นคนยุคเก่าแบบฌองที่พยายามหลบหนีความเป็น “นักโทษหรือทาส” มาตลอดชีวิตเขา ถึงแม้จะหลบหนีไปที่ไหนสุดท้าย ตัวเขาก็ยังเป็นทาสที่ถูกตีตราจากกฏหมายอยู่ดี นอกจากจะเปล่งเสียงและยืนหยัดเพื่อบอกจุดยืนของตนเองว่า “เราคือคน และเราเท่าเทียมกัน” แต่การทำอะไรสักอย่างมักมีราคาหรือผลตามมาเสมอ
Stay connected