สวัสดีค่าสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน ช่วงนี้เราได้มีโอกาสฟัง Podcast ดีๆ หลายคลิปและที่น่าสนใจนั้นจากหลาย Channel พูดถึงเรื่องการเข้าใจใส่ใจ และรู้จักตนเองวันนี้ Clubsister ขอคำเกร็ดความรู้และข้อมูลดีๆ ที่เปรียบเสมือนการให้กำลังใจกับสาวๆ กัน กับ “มาทำความรู้จัก การเข้าใจตนเอง Self Empathy มาเมตตาต่อตนเองบ้างก็ดี” ซึ่งในครั้งนี้จะมาสอนทริคและวิธีการสังเกตตัวเอง พร้อมรู้จักการดูแลเอาใจใส่ความรู้สึกตนเองกัน อย่างรอช้ามาเริ่มที่ข้อแรกกันเลย 

 

“มาทำความรู้จัก การเข้าใจตนเอง Self Empathy มาเมตตาต่อตนเองบ้างก็ดี”

 

ก่อนที่เราจะไปรู้จักการเข้าใจตนเอง Self Empathy หรือ Self Awareness นั้น เราต้องรู้จักความหมายของสองคำนี้ก่อนเริ่มจากคำแรก Self Awareness หรือ การรู้จักตนเองและรู้จักความรู้สึกของตนเอง เข้าใจความต้องการ ประสบการณ์ที่ผ่านมา แรงจูงใจ หรือแม้กระทั่งอารมณ์ ณ ตอนนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและการมีความสุขของเราในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก

โดยมีนักจิตวิทยาสองท่านที่มีชื่อว่า Shelley Duval และ Robert Wicklund’s ได้เคยพูดเกี่ยวกับ Self Awareness ไว้ว่า “เมื่อเราให้ความสนใจไปที่ตัวเอง เราจะสามารถประเมินและเปรียบเทียบพฤติกรรมในปัจจุบันกับคุณค่าและมาตรฐานภายในได้ เราจะมีความรู้สึกตัวเหมือนกับเป็นผู้ประเมินที่มีความเป็นกลางในตัวเอง”

การเข้าใจตนเอง Self Empathy

ต่อมาเรามาดูความหมายของการเข้าใจตนเองกัน ถ้าคำว่า Empathy นั้นแปลตรงตัวคือการใส่ใจ โอบอ้อม เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่ง Self Empathy ก็คือการเข้าใจและรู้ซึ่งพร้อมประนีประนอมให้กับตัวของเราเอง ซึ่งหากถามว่า Self Awareness กับ Self Empathy สัมพันธ์กันตรงไหน บอกเลยว่าสองสิ่งนี้สำคัญและสัมพันธ์กันทั้งหมด หากเรารู้จักตนเองมี Self Awareness เราจะรู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร, เหตุผลที่เราทำคืออะไร, มันให้ความรู้สึกแบบไหนอย่างไร

แต่ทว่าในวันที่เราทำพลาด สิ่งที่จะมาช่วยให้เราดีขึ้นจากความเศร้า ความกดดันหรือความกังวล หงุดหงิดใจต่างๆ นั้นคือ Self Empathy สาวๆ อาจจะเคยได้ยินคำที่ว่า “คนเราล้วนปลอบใจคนอื่นได้ เห็นใจคนอื่นได้ดี แต่พอเป็นตนเองกลับไม่เคยเห็นใจ” นั่นแหละ เรากำลังทำร้ายตัวเองทางอ้อมอยู่หรือเปล่า เฉพาะนั้นเรามาเริ่มลองเรียนรู้ที่จะการเข้าใจตนเองกับตนเองกัน

 

ข้อที่ 1: คุยกับตนเองเหมือนกำลังคุยกับเพื่อนสนิท

การเข้าใจตนเอง Self Empathy

วิธีการฝึกการสร้าง Self Empathy ข้อที่หนึ่งนั้น อาจจะดูยากๆ ไปเสียหน่อย แต่ถ้าลองทำจริงๆ แล้ว มันไม่ยากเลยค่ะ นั่นก็คือให้เราลองพูดคุยกับตัวเองประหนึ่งเพื่อนสนิทคนหนึ่ง พูดคุยใน ณ ที่นี้อาจจะไม่ใช่มานั่งส่องกระจกและเล่น Row Play เป็นตัวเองสองคนในเวลาเดียวกันนะคะ แต่การพูดคนใน ณ ที่นี้อาจจะเหมือนการบอกเล่าความรู้สึก ประสบการณ์ เรื่องราวต่างๆ ที่เจอมา ทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้เจอ ได้ทำสิ่งไหนทุกข์ สิ่งไหนที่ทำให้ยิ้ม สิ่งไหนที่ทำให้มีความสุข ให้บอกเล่าและคิดในใจประหนึ่งกำลังเท้ามอยกับเพื่อนสนิท

โดยสิ่งนี้จะทำให้เราตระหนักรู้ว่าวันนี้เราเจอกับอะไรมา เราเก่งมากแค่ไหนที่เราผ่านมันมาได้ สิ่งไหนที่เราทำตัวไม่ดี สิ่งไหนที่ดี จะได้ไว้คอยปรับปรุงหรือชื่นชมตัวเองต่อไป และเรามีแนะนำว่าให้สาวๆ ลองจดบันทึกอารมร์และสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวันเหมือนไดอารี่ดู ไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นเรื่องราวยาวๆ แค่เป็นหัวข้อหรือ Bullet Point ก็พอ เราชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป สาวๆ ได้มาเปิดอ่านมันอีกครั้งจะรู้สึเหมือน ได้อ่านชีวิตของคนๆ หนึ่งเลยทีเดียวหล่ะ

 

ข้อที่ 2: อย่าลืมว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้สึกได้

การเข้าใจตนเอง Self Empathy

ข้อนี้เป็นอีกหนึ่งข้อในการเข้าใจตนเอง Self Empathy ที่สำคัญ มนุษย์เราโดยส่วนใหญ่ เวลาเจอคนที่เศร้า ท้อแท้ เหนื่อยใจ และยิ่งเป็นคนที่เรารักเราแคร์ เราจะมี Empathy ให้กับคนๆ นั้นตลอดเวลา เข้าใจความรู้วึกของเขา รู้ว่าเขาเศร้าอย่างไร รู้ว่าเขาเจอกับอะไรมา ไม่เพียงแค่นั้น เรายังใช้คำพูดปลอบโยนและอยู่กับเขาจนกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะดีขึ้นหรือหายดี

แต่! พอเป็นเรื่องของตัวเอง เรากลับไม่ปล่อยให้ตัวเองได้มีความรู้สึกแบบนั้นเลย พอเจอเรื่องแย่มา และรู้สึกเศร้า สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือ “ฉันจะไม่เศร้า ยิ้มเข้าไว้ อย่าเศ้รา อย่าร้อง” พอเจอเรื่องหงุดหงิดมา “อย่าฉุนเฉียว อย่าโกรธดูไม่ดี” สิ่งเหล่านี้คือแรงกดดันและการกดความรู้สึกของตนเองทั้งสิ้น สิ่งที่เราควรทำเลยคือ เข้าใจและรับรู้ว่า ตัวเราเองก็เป็นคน เป็นมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจและความรู้สึก โกรธได้ เศร้าได้ เสียใจได้เป็นเรื่องธรรมดา

 

ข้อที่ 3: มีสติกับตัวเองและมีสติกับอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

การเข้าใจตนเอง Self Empathy

ข้อนี้จะเป็นอีกข้อหนึ่งที่ใกล้เคียงและต่อเนื่องจากข้อสองสำหรับการเข้าใจตนเอง Self Empathy เมื่อเราปล่อยให้ตัวเราเองนั้น ได้มีความรู้สึกบ้าง สิ่งต่อไปที่เราควรทำคือการเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ และ ปล่อยให้มันได้ใช้เวลากับอารมณ์เหล่านั้น หลังจากนั้นก็ Move On ใช้ชีวิตต่อไป การพูดแบบนี้สาวๆ อาจจะยังไม่เห็นภาพ งั้นเราลองมายกตัวอย่างกัน อย่างเช่น เราทะเลาะกันหนักกับแฟนเลย มีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันและเคลียร์กันไม่ได้ เราเสียใจและโกรธมาก เหมือนจะร้องไห้ ทุกอย่างอึดอัดไปหมด

เมื่อเรารับรู้ว่าเรามีความรู้สึกอึดอัด โกรธ และเสียใจ สิ่งที่เราควรทำคือแค่ปล่อยตัวเราให้เป็นไปตามความรู้สึก อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากโกรธก็โกรธ อยากฟูมฟายก็ได้ แต่เวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง เราต้องมีสติและบอกกับตัวเองว่า พอได้แล้วเรื่องทุกเรื่องต้องใช้เวลาและอาศัยความเข้าใจ เมื่อเราใจเย็นลงค่อยคุยกัยใหม่ กลับไปใช้ชีวิตของเราตามเดิม อย่าจมปลักกับอารมณ์นานเกินไป เท่านี้เลย ไม่ยากใช่ไหมล่ะ

 

ข้อที่ 4: ให้อภัยตัวเองและอ่อนโยนกับตัวเองบ้าง

การเข้าใจตนเอง Self Empathy

ข้อสุดท้ายนี้เป็นอีกหนึ่งข้อที่เรียกได้ว่าสำคัญมากๆ และมากที่สุดในทุกๆ ข้อที่กล่าวมา การเข้าใจตนเอง Self Empathy ได้นั้น เราต้องรู้จักให้โอกาส ปลอยโยน และอ่อนโยนกับตนเอง เหมือนตอนที่อ่อนโยนกับผู้อื่นบ้าง อย่าใจร้ายหรือใช้คำพูดรุนแรง ฝืนจิตใจตัวเองนักเลย บ่อยครั้งที่เวลาเพื่อนของเรารู้สึกแย่จากการกระทำใดๆ ก็ตาม เรามักจะบอกกับเพื่อนว่า ไม่เป็นไร ทำผิดแล้วรู้ตัวว่าปิดก็โอเคแล้ว ครั้งหน้าเอาใหม่ เริ่มใหม่ แต่พอเป็นตัวเองเรากลับด่าทอตัวเอง ไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธตัวเองกับการกระทำต่างๆ ทำไมละ?!? ตัวเราเองก็เป็นคนๆ หนึ่งเหมือนกัน สาวๆ สามารถปลอบตัวเองและอ่อนโยนกับตัวเองได้เหมือนกับคนอื่นๆ

อย่างเช่น (ยกตัวอย่างชีวิตของนักเขียนเลยก็แล้วกัน) มีอยู่วันหนึ่งเราทำงานประจำเหนื่อยมากๆ กลับบ้านก็ดึกกว่าเวลาปกติ รู้สึกอยากอาบน้ำ และนอนดูซีรีส์พักผ่อนบ้าง แต่ใน To Do List ของวันนี้คือต้องทำงานเขียนชิ้นนึงด้วย สิ่งที่เราควรทำคือ ปล่อยให้จิตใจและร่างกายของเราได้พักบ้าง การชาร์จแบตให้ร่างกาย ก็ถือเป็นการชาร์จแบตและให้รางวัลตัวเอง อย่าว่าหรือดุตัวเองที่ไม่ขยันหรือไม่กระตือรือร้น “วันนี้เหนื่อยก็พัก พรุ่งนี้ก็มาเขียนใหม่ได้ ไม่เป็นไร เอาที่ตัวเองไหว” นี่แหละคือการให้อภัยตัวเองและอ่อนโยนกับตัวเองบ้าง

 

และนี่แหละค่ะ คือการเข้าใจตนเอง Self Empathy หรือการปลอบโยนและปลอบประโลมตนเอง สาวๆ อย่าลืมว่าคนที่เราควรรักและอ่อนโยนกับเขาให้มากๆ ไม่ใช่ใครคนอื่นและควรจะเป็นตัวเราเอง หากเราเข้าใจตนเอง ปลอบและอ่อนโยนกับตัวเองได้แล้วนั้น การนำความรักไปให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันจนถึงตรงนี้ ขอบคุณค่า

 

Photo Credit: Stock Photo Free

Sources:

Comments

comments