สวัสดีค่ะสาวๆ ชาวซิสที่น่ารักทุกคน หากใครที่เป็นคอแฟนคลับหรือติดตาม Netflix อยู่บ่อยครั้ง จะต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงอันดับของ Trending หรือซีรีส์และหนังที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน เหมือนเดิมวันนี้ Clubsister เราขอรีวิวแบบจัดเต็ม เจาะลึก ถึงแก่นและที่มาของซีรีส์เรื่องนี้กันกับ “รีวิว สารคดี Crime Scene สร้างจากเรื่องจริงบน Netflix ตีแผ่ความลับและการจากไป!” ซึ่งเป็นซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงที่น่าสนใจของคดีระลึกขวัญและดังไปทั่วโลก

 

“รีวิว สารคดี Crime Scene สร้างจากเรื่องจริง ตีแผ่ความลับและการจากไป!”

 

คำเตือน! บทความนี้อาจมีการเผยแพร่เนื้อหาสำคัญ หากใครยังไม่ได้ดูโปรดหลีกเลี่ยง

 

เรื่องย่อและที่มา: ก่อนที่เราจะเข้าบทความรีวิว สารคดี Crime Scene ของ Original Netflix เรื่องนี้ เราขอเกริ่นถึงที่มาของสารคดีหรือ Documentary นี้กันก่อน Crime Scene: The Vanishing At The Cecil Hotel เป็น Documentary หรือสารคดี บอกเล่าพร้อมเผยแพร่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคดีการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวสาวฮ่องกง วัย 21 ที่อาศัยในแคนาดา โดยเธอมีชือ Elisa Lam เธอเป็นหญิงสาวชาวฮ่องกงที่อพยพมาอาศัยอยู่ในประเทศแคนาดา และจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมบัส เธอตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวโดยมีเส้นทางการท่องเที่ยวคือจากซานดิเอโด – ลอสแอเจลิส – ซานตาครูช – ซานฟรานซิสโก

สารคดี Crime Scene

ซึ่งเธอขาดการติดต่อกับครอบครัว และหายตัวไป โดยสถานที่สุดท้ายที่รู้ข่าวจากเธอคือ ลอสแอเจลิส โดยคดีการหายตัวไปของเธอนั้น เป็นที่จับตามองและสร้างเสียงฮือฮาให้กับคนทั่วโลก ไม่ใช่แค่เฉพาะ LA เพียงอย่างเดียว และไม่เว้นแต่ประเทศไทยเอง และสิ่งที่ทำให้คดีนี้เป็นที่น่าสนใจนั้น
ไม่ใช่แค่คลิป Footage จากกล้องวงจรปิดที่เหล่าสังคมออนไลน์ได้เห็นเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการบทสรุปก่อนที่จะปิดคดี

 

การเล่าเรื่องและสิ่งที่เห็นจากคดีนี้ :

อย่างแรกเลยเราต้องขอชมเชยและยกย่องการทำงานของเหล่าทีมงานที่ค้นหาข้อมูลต่างๆ ในก่อนที่จะมาประติดประต่อร้อยเรียงจนกลายเป็นสารคดีเรื่องนี้ขึ้น และก่อนที่จะเข้ารีวิวในส่วนของความคิดเห็นของนักเขียนนั้น เราขอบรรยายและบอกเล่าการดำเนินเรื่องของสารดีนี้กันก่อน โดยเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากซักเท่าไร ก็เป็นการดำเนินเรื่องโดยมีภาพเหตุการณ์จริง ถ่ายทอดและสลับกับคำให้การ พร้อมการบอกเล่าความรู้สึกของเหล่าผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการโรงแรม, แขกและนักท่องเที่ยวในช่วงเวลานั้น ตำรวจที่ทำคดี, ชาวบ้านที่อยู่ในย่านนั้นมานาน หรือแม้กระทั่งกลุ่มคนประชาชนทั่วไปที่เปรียบเสมือนแกนหลักที่ช่วงออกความคิดเห็นและสืบคดีไปพร้อมกับทางการ

สารคดี Crime Scene

ซึ่งสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า Netflix ทำมันออกมาได้ดีนั้น คือการเก็บรายละเอียดคำให้การ ประติดประต่อร้อยเรียงกับการจำลองสถานการณ์ และ ข้อมูลที่มาจากเรื่องจริง ของฝั่ง Elisa Lam เอง เมื่อตำรวจพูดถึงการ Tracking หรือ ตามรอยที่มาว่าตัว Elisa นั้นเป็นคนอย่างไร พบเจออะไรมา ภาพจะสลับไปเป็นการจำลองสถานการณ์เสมือนจริง ที่ Elisa ใช้ Tumblr เสมือนเป็น Diary Online ของเธอ ซึ่งข้อมูลตรงนี้เรียกได้ว่าเป็นอีกจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆ ที่ทำให้ทางการประกอบสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่หากถามถึงความหลอนหรือความน่าขนลุกมีบ้างหรือไม่ เราขอตอบตรงนี้เลยว่า มี! แต่อาจไม่ได้เทียบเท่าหนังสยองขวัญทั่วไป

และสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้นก็คงหนีไม่พ้น Sound ประกอบและภาพจำลอง ที่ทำให้เรารู้สึกถึงการยังมีชีวิตอยู่ของเธอ และหากพูดถึงการดำเนินเรื่องและการลำดับขั้นตอนขอสารคดีเรื่องนี้ ส่วนตัวเรามองว่า Netflix ทำออกมาได้ดี โดยใน Episode ที่หนึ่งจะพูดเรื่องสถาที่เกิดเหตุ ความเป็นว่าของคดี และความเป็นมาของสถานที่เกิดเหตุ, Episode ที่สองพูดถึงการสืบคดีและวิธีการสิบคดีของทางตำรวจ LA, Episode ที่สามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการพบศพและหยังจากที่พบเจอศพ Elisa และสุดท้ายคือการสรุปและปิดคดีที่ยากจะเชื่อ 

สารคดี Crime Scene

 

สิ่งที่ได้รับจากสารคดีเรื่องนี้: และนี่คือการเข้าสู่บทความและความคิดเห็นของการรีวิวซึ่งเราขออนุญาตแบ่งสิ่งที่สารคดีเรื่องนี้ต้องการจะบอกกับเราออกเป็น 3 แกนหลักๆ โดยขอเริ่มที่แกนแรก จากคดีการหายตัวไปของ Elisa นั้นทำให้เรามองเห็นโครงสร้างและความเน่าเฟะของย่าน Downtown ใน LA โดยในตัวสารคดีนั้น ได้มีการย้อนกลับไปเมื่อ 100 กว่าปีก่อนของ LA

ซึ่ง LA นั้นเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการเฟื่องฟูและเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่น่าจับตามองอีกเมืองหนึ่งใน แคลิฟอเนียร์ ด้วยอุตสาหกรรมน้ำมัน และการค้าขายต่างๆ รวมถึงการพัฒนาธุรกิจวงการบันเทิงอย่าง Hollywood ทำให้ในปี 1910 – 1914 นั้น LA เป็นเมืองที่ได้รับความนิยม และผู้คนส่วนมาก ไมว่าจะเป็นประชาชนในสหรัฐอเมริกาเอง หรือแม้กระทั่งนักท่องเที่ยวและนั่นเป็นต้นกำเนิดโรงแรมที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงและแทบจะดีที่สุดใน LA อย่าง Cecil Hotel

สารคดี Crime Scene

Cecil Hotel เป็นโรงแรมที่เรียกได้ใหญ่และเกือบจะดีที่สุดใน LA ณ ตอนนั้น ด้วยสถานที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟ อยู่ในใจกลางเมือง มีห้องที่สามารถรองรับแขกได้ถึง 700 ห้อง การตกแต่งที่ไม่ได้สวยหรูเท่าไร แต่สาธารณูปโภคครบครันทำให้ค่าเช่าห้องต่อวันของที่นี่ถูก เป็นที่หมายปองของเหล่านักท่องเที่ยว แต่ด้วยวิกฤตทางเศรษฐกิจทำให้ Cecil Hotel ประสบปัญหาขาดทุน จำเป็นต้องปล่อยห้องเช่าเป็นแบบ Residence หรือรายเดือน

และด้วยวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงนั้น ทำให้เกิดคนตกงาน ด้วย LA เป็นเมืองใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรมเยอะ ทำให้เมืองนี้เกิดย่านที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่ตกงาน, แรงงานต่างด้าว และคนไร้ที่อยู่เกิดขึ้นอย่างย่าน Skid Row ถามว่าเรามองเห็นอะไร ณ จุดนี้ แน่นอนโรงแรมที่มีค่าเช่าต่อวันแสนถูก พร้อมใกล้สถานีรถไฟ และอยู่ในตัวเมือง ทำให้เหล่านักท่องเที่ยวต่างคิดว่าโรงแรมแห่งนี้คือ Landmark ที่ดี

แต่ทว่าถัดไปไม่กี่ช่วงตึก จะพบกับความเน่าเฟะของโครงสร้างและระบบการจัดการของเมือง อย่างย่านชุมชนที่เต็มไปด้วยอาชญากรและอาชญากรรม ถัดมาเป็นแกนที่สอง แกนนี้ค่อนข้างสำคัญและเป็นแกนหลักของหนังสารคดีเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ การเกิด Viral และ การตีความจากประชาชน ด้วยหลักฐานและเบาะแสที่ทางการได้มานั้น มีเพียง Diary Online อย่าง Tumblr และ Footage จากกล้องวงจรปิดในลิฟต์ นอกนั้นตำรวจไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้เลย

สารคดี Crime Scene

ดังนั้นอีกวิธีทางนึงคือการขอให้สื่อ ต่างๆ เข้ามาช่วย ทางการตัดสินใจปล่อยคลิป VDO ซึ่งเป็นหลักฐานเดียวออกไปสู่สาธารณะ นั่นทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Viral ขึ้น และทำให้เกิดข้อถกเถียงต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นถึงความขนลุกหรือสยองๆ ของคลิป, การแสดงลักษณะท่าทางของ Elisa ที่ดูไม่ปกติ, การสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง สิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นมาต่างๆ มากมาย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้โยงไปถึงการตีความต่างๆ ของกลุ่มคนหลายรูปแบบ จึงเกิดเป็น Community เล็กๆ ของคนใน Social Media ขึ้น โดยกลุ่มคนเหล่านี้มีความชอบและสนใจเรื่องคดีเป็นอย่างมาก แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เราสังเกตเห็นถึงความหมายของการตีความนั้น มาจากข้อมูลหลักฐานเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ VDO

สารคดี Crime Scene

แกนสุดท้าย ที่เป็นเหมือนบทสรุปของเรื่องนั่นก็คือ ความ Miscommunicatation ระหว่างตำรวจ และประชาชนผู้มีส่วนรวม หากถามว่าทำไม เราอยากให้สาวๆ ทุกคนลองไปดู รายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจแบบนั้นเลยคือ ตำรวจตั้งใจปล่อยคลิปเพื่ออยากให้สื่อและประชาชนที่รู้เบาะแสช่วย แต่ทว่าตำรวจเลือกที่จะปกปิดข้อมูลบางอย่าง โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ซึ่งจุดนี้ทำให้ประชาชนหรือนักสืบ Social ต่างคาดคะเนและวิเคราะห์ไปยังทิศทางอื่นต่างๆ นาๆ จนก่อให้เกิด Social Bully ขึ้นและกระทบต่ออนาคตของผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง

แน่นอนเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเป้าหมายนึงที่จะต้องถูกเพ่งเล็ง และน่าสงสัยไม่ต่างกันคือตัวโรงแรมเอง เมื่อทางโรงแรมพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่ทว่าไม่ได้มีการแจ้งข่าวหรือประกาศข้อมูลใดๆ ที่เอื้อต่อการเป็นประโยชน์ของโรงแรมเอง หรือแม้กระทั่งตัวพนักงานเองออกมา ทำให้ประชาชนผู้เป็นสื่อกลางและผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ต่างตีความไปต่างๆ นาๆ จนกลายเป็นไฟลามทุ่ง สุดท้ายกว่าคนทุกคนจะยอมรับความจริงและจะหาบทสรุปได้นั้น ก็เกิดเรื่องราวและความวุ่นวายต่างๆ มากมายเสียแล้ว

 

บทสรุป: สิ่งที่เราได้จากสารคดี Crime Scene นี้คงเป็นการวางโครงสร้างเมืองและการจัดการกับระบบเน่าเฟะในเมืองที่เรียกได้ว่าดูเหมือนจะศิวิลัยแต่เต็มไปด้วยความสีเทา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมย่านนี้ถึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเรื่องที่น่าสะเทือนใจ จนบางครั้งเราละเลือนจุดเล็กๆ น้อยๆ บางจุดไป ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีให้เห็นในประเทศเราเอง อีกเรื่องที่ยิ่งเห็นได้ชัดเลยคือ ผลกระทบที่ได้จาก Social Media บ่อยครั้งที่นักสืบ Social และเหล่า User ที่รักในการขุดและสืบสวนสอบสวนนั้น ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและการตีความจากข้อมูลเพียงข้างเดียว

สารคดี Crime Scene

ซึ่งเห็นได้ชัดจากคดีนี้ และนั่นทำให้เกิดการสัดทอนโดยไร้ซึ่งหลักฐานและขาดน้ำหนัก แต่ทำให้คนๆ นึงต้องการเป็นแพะโดยที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วสารคดี Crime Scene เป็นอีกหนึ่งสารคดี ที่สะท้อนให้เห็นโครงสร้างใหญ่ของสังคมและการทำงานของ Social Media ที่มีผลทางอ้อมจากคดีดังกล่าว หากใครที่สนใจและอยากสัมผัสถึงเรื่องราวของสารคดีเรื่องนี้ ก็สามารถเข้าดูได้ที่ Netflix นะคะ (คลิกเพื่อรับชม) และพบกันใหม่บทความหน้า ขอบคุณที่ติดตามกันค่า 

 

Photo Credit:

Comments

comments