สำหรับใครที่พบเจอปัญหารอบดวงตา หรือ มีริ้วรอยใต้ตาก่อนวัย เช่น ตาลึก ตาโหล ขอบตาดำ ถุงใต้ตา แล้วอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อปรับให้ใบหน้ามีความสดใสขึ้น แต่ก็กังวลเพราะมีหลายคนที่ฉีดมาแล้วใต้ตาเป็นก้อน ทำให้ใต้ตาดูบวมไม่เป็นธรรมชาติ วันนี้เราจึงเตรียมเทคนิคการเลือกคลินิก และต้องดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ให้เป็นก้อนมาแนะนำ ดังนั้นใครที่อยาก ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ให้เป็นธรรมชาติ หรือผู้ที่ยังไม่เคยเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตามาก่อน ห้ามพลาดบทความนี้ค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างไรให้ปลอดภัย แก้ริ้วรอยใต้ตาได้ตรงจุด
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเรื่องอะไรบ้าง?
หลายคนอาจเกิดความเข้าใจว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นจะสามารถช่วยแก้แค่ปัญหารอยคล้ำใต้ตา ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าเป็นความคิดที่ผิดเพราะการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นสามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลายอย่างด้วยกันดังนี้
1.ช่วยลดริ้วรอยร่องลึกใต้ตา ใต้ตื้นขึ้น และจางลงทันที
2.ช่วยแก้ปัญหาสำหรับคนที่มีเบ้าตาลึก ตาโบ๋ ทำให้หน้าดูโทรม
3.ช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตา ลดความหย่อนคล้อย และรอยคล้ำ ดำ ตรงบริเวณใต้ตาได้
4.ช่วยปรับโหงวเฮ้งให้กับใบหน้า ทำให้ใต้ตาเต็ม ดูอิ่มเอม สดใสขึ้น
5.ช่วยเพิ่มให้ผิวใต้ตาดูสว่างขึ้น สดใส เรียบเนียน ชุ่มชื้นและไม่หมองคล้ำอีกต่อไป
ฟิลเลอร์ใต้ตาต้องใช้กี่ CC จึงดูเป็นธรรมชาติ เลือกยี่ห้อไหนดี?
โดยส่วนใหญ่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแพทย์จะใช้ในปริมาณ 1-2 CC ต่อข้าง ใต้ตาก็จะดูสวยเป็นธรรมชาติแล้ว แต่สำหรับคนไข้ที่มีปัญหาใต้ตาดูลึกมากที่มาจากการยุบตัวของกระดูก หรือคนไข้ที่มีอายุมีริ้วรอยและถุงใต้ตาเยอะ แพทย์ก็จะมีการพิจารณาใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมแบบเคสต่อเคส โดยฟิลเลอร์ยี่ห้อและรุ่นที่เหมาะสมสำหรับการฉีดใต้ตาให้ดูเป็นธรรมชาติที่แพทย์นิยมใช้จะมีอยู่ 4 ตัวหลักๆ ได้แก่
- Restylane Perlane Lyft เป็นฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง ไม่ฟู และสามารถปรับทรงง่าย และคงรูปทรงได้ดีที่สุด ระยะเวลาการเห็นผลประมาณ 12 เดือน
- Restylane Defyne เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อเจลออกแข็งแบบปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูงและอุ้มน้ำได้ดี เหมาะกับเคสที่มีใต้ตาลึกมาก ระยะเวลาการเห็นผลประมาณ 18 เดือน
- Juvederm Volite เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อละเอียด ใช้เติมใต้ตาในชั้นตื้น จึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวบาง เพราะดูเป็นธรรมชาติไม่เป็นก้อน ระยะเวลาการเห็นผลประมาณ 9-12 เดือน
- Juvederm Voluma เป็นฟิลเลอร์ที่มีเนื้อแข็ง ดูฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยอุ้มน้ำและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ระยะเวลาการเห็นผลประมาณ 18-24 เดือน
วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี ให้ปลอดภัย?
หลักการเลือกคลินิกสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง เพราะฝีมือของแพทย์แต่ละคลินิกต่างก็เป็นตัวกำหนดผลลัพธ์หลังฉีดได้เช่นกัน ซึ่งคนไข้ควรมีวิธีการเลือกคลินิก ดังนี้
– เลือกคลินิก ที่ให้ความปลอดภัย ได้มาตรฐานตามหลักสากล ดูน่าเชื่อถือได้
–เลือกคลินิกที่แพทย์มีประสบการณ์ มีความชำนาญในการใช้ฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า
– เลือกคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่มีเลข Lot ตรวจสอบบริษัทนำเข้าได้
– เลือกคลินิกที่มีการรีวิวจากแหล่งที่เป็นกลาง เช่น Facebook Line Instagram TikTok หรือรีวิวในแหล่งที่คลินิกไม่สามารถลบได้
– เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียง หรือมีแพทย์ผู้ฉีดที่มีชื่อเสียง มีรางวัลการันตีถึงฝีมือและประสบการณ์
การฉีดไขมันใต้ตาVSฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
ซึ่งหากจะให้พูดถึงวิธีการแก้ปัญหาใต้ตาด้วยการฉีดนั้นนอกจากการฉีดฟิลเลอร์ก็จะมีอีกหนึ่งอย่างก็คือการฉีดไขมันนั่นเอง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต่างก็มีจุดเด่น หลักและวิธีการฉีดที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร ดังนี้
- ฟิลเลอร์ใต้ตา
เป็นการฉีดสารเติมเต็มประเภท HA ที่มีความปลอดภัยสูง หลังเห็นผลลัพธ์ทันที สามารถปั้นทรงและเกลี่ยงให้เรียบเนียนได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน เจ็บน้อย ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น แต่จะมีอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา 2-3 วันและยุบบวมไปได้เอง มีความปลอดภัยสูง แต่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แบบถาวร เพราะอยู่ได้นาน 6-18 เดือน
ราคาค่าฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา : 7,000-15,000 บาท
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมต่อได้ที่ : ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ลดปัญหาใต้ตาลึกและคล้ำ ให้ดูสดใส ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
- ฉีดไขมันใต้ตา
การฉีดไขมันใต้ตาเป็นการใช้ไขมันของตัวเองโดยจะมีการดูดจากบริเวณอื่นเพื่อมาเติมใต้ตา เพื่อลดความเสี่ยงของการแพ้ แต่การฉีดไขมันใต้ตาเป็นบริเวณที่เล็กน้อยจึงไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะจะทำให้คนไข้จะมีแผลในตำแหน่งที่มีการดูดไขมันเพิ่มขึ้น และไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีในครั้งแรก ต้องกลับมาฉีดซ้ำหลายครั้ง ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเสมอกันได้
ราคาค่าฉีดไขมันใต้ตา : 30,000-80,000 บาท
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาปลอดภัยไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นบริเวณที่หลายๆมีความกังวล เนื่องจากเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้กับอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย แต่หากเลือกฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง โดยใช้ฟิลเลอร์แท้ก็จะเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย เพราะตัวฟิลเลอร์สามารถแท้จะสลายได้ 100% ไม่มีสารตกค้าง ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานกี่เดือน?
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา โดยทั่วไปตัวยาจะอยู่ได้นานถึง 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมไปถึง การดูแลตัวเองอยู่สม่ำเสมอ หลังฉีดฟิลเลอร์ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อฟิลเลอร์ที่จะทำให้สลายได้ เพื่อช่วยรักษาฟิลเลอร์ให้อยู่ได้นานขึ้นมากที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาทำให้เสี่ยงตาบอดได้จริงหรือไม่
คำตอบคือจริง หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีฝีมือและประสบการณ์ที่มากพอ เพราะแน่นอนว่าการฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตานั้นต้องใช้ทักษะและเทคนิคในการฉีดอย่างสูง เนื่องจากผิวใต้ตาอยู่ใกล้กับดวงตาแล้วยังมีเส้นเลือดอยู่อีกมากมาย เพราะหากฉีดไปโดนเส้นเลือดก็อาจทำให้เกิดการอุดตันจนนำไปสู่การตาบอดได้
ดังนั้นก่อนฉีดจึงควรเลือกแพทย์ผู้ฉีดให้ดี โดยสมัยนี้เราสามารถเช็กได้จากรีวิวตามอินเทอร์เน็ตได้เลยว่าแพทย์คนไหนมีฝือมือและประสบการณ์ที่สูงบ้าง
ข้อดีข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ควรรู้?
ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นก็ต่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันอยู่แต่ก็ต่างเป็นข้อเสียที่ไม่ได้อันตรายใดๆ ดังนี้
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นการเติมเต็มร่องลึกใต้ตา ที่มีความปลอดภัยสูงเห็นผลลัพธ์ได้ทันที หลังการฉีดไม่ทิ้งรอยแผลเป็น สามารถแก้ไขริ้วรอยความหย่อนคล้อยยและปัญหาขอบตาดำได้ทั้งหญิงและชาย เจ็บน้อย มีความเป็นธรรมชาติไม่เป็นคลื่น และที่สำคัญคือราคาไม่สูง
- ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ตา
ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร เพราะเนื้อฟิลเลอร์จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ทำให้ต้องกลับมาฉีดซ้ำ เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น และหลังการฉีดอาจจะมีอาการบวมแดง มีรอยเข็มหรือมีรอยช้ำได้
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
หากจะให้พูดถึงการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นก็ต้องบอกเลยว่ามีข้อห้ามหลักๆ อยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น
- ห้ามทานยาหรืออาหารเสริมบางตัวเช่น ยาแอสไพริน อาหารเสริมแปะก๊วย เพราะจะทำให้เลือดไหลหยุดได้ช้า
- ห้ามทานแอลกอฮอล์ก่อนฉีด 24 ชั่วโมงเพราะจะทำให้เกิดอาการช้ำและระคายเคืองได้ง่าย นอกจากนั้นยังรวมถึงอาหารสแลงอย่าง อาหารทะเล ของหมักดอง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบหลังฉีดได้ง่าย
- ห้ามเลเซอร์ผิว หรือขัดผิวก่อนฉีด 3 วันเพราะจะทำให้ผิวบอบบางจนเป็นรอยช้ำ รอยแดงของเข็มได้ง่ายและทำให้รักษารอยดังกล่าวได้ยากกว่าปกติอีกด้วย
- ก่อนฉีดควรแจ้งแพทย์ถึงโรคประจำตัว ยาที่ทานเป็นประจำ รวมไปถึงประวัติแพ้ยาต่างๆ ให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นไม่มีความอันตรายก็จริง แต่ก็ถือเป็นหัตถการที่ไม่เหมาะกับกลุ่มคนบางกลุ่ม เพราะอาจส่งผลอันตรายได้ ดังนี้
– สตรีที่ตั้งครรภ์หรือกำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตร
– ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังที่จุดที่ฉีด เช่น เป็นผื่นแดง มีแผลสด
– ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือดหยุดไหลยาก ผู้เป็นแผลแล้วหายยาก เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นต้น
– ผู้ที่มีประวัตในการแพ้สารฟิลเลอร์หรือตัวสายไฮยาลูรอนิค เอซิด
ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น?
– ไม่ควรแตะ แกะ เกา บีบ จับ นวด ในบริเวณที่เป็นรอยเข็ม
– ควรอยู่ในที่ ๆมีอากาศเย็นหลังการฉัดฟิลเลอร์ในช่วงแรก
– ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนทุกชนิด เช่นการอบซาวน่า การตากแดด และออกกำลังกายแบบหนักๆ ในช่วง 3 วันแรก
– ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และอาหารรสเผ็ด, หมักดอง, อาหารดิบ รวมถึงควรงดสูบบุหรี่
– หลังฉีดพยายามอย่าขยับใบหน้าเยอะๆ ในช่วง 3 วันแรก เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่และไม่เคลื่อนผิดตำแหน่ง
สรุป
การ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา นอกจากจะต้องคัดสรรคลินิกที่น่าเชื่อถือ สามารถไว้ใจได้ แพทย์มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลังการฉีดที่สวยเป็นธรรมชาติแล้ว การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์คางก็สำคัญมากไม่แพ้กัน เพราะหากคนไข้ดูแลตัวเองได้ไม่ดีพอ อาจทำให้เกิดปัญหาใต้ตาอักเสบ ติดเชื้อ ใต้ตาแข็งเป็นก้อน ตามมาได้ ดังนั้นหลังการฉีดฟิลเลอร์แนะนำว่า ควรมีการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์จะดีที่สุด
Stay connected