นาทีนี้คงไม่มีสาวคนไหนไม่รู้จักแบรนด์ Smooto ที่โด่งดังที่สุดตอนนี้

วันนี้เราจะพามารู้จักให้มากขึ้น กับแบรนด์สกินแคร์ของคนไทย ที่ตั้งใจทำมาเพื่อให้คนไทยได้ใช้ของดี

ในราคาดีงามมมม บอกเลยว่าอ่านจบแล้วจะต้องรีบวิ่งปรู้ดดดดไปซื้อมาลองกันรัวๆ เลยล่ะค่ะซิสสสส

จุดเริ่มต้น…ก้าวแรกของแบรนด์ Smooto : 

คุณปุ๊ก-อัญชลี ชุติไพจิตร หนึ่งในเจ้าของแบรนด์สมูทโตะเล่าให้เราฟังว่าตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำสกินแคร์เลยด้วยซ้ำ “ตอนแรกบริษัทเราชื่อ โกลบอล เมดดิคัล (ประเทศไทย) จำกัด  ตั้งใจว่าจะเป็นบริษัทรับจ้างผลิต ก็รวมหุ้นส่วนของเพื่อนๆ เภสัชด้วยกัน แต่พอทำไปซักพัก เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยประสบความสำเร็จ คือมีลูกค้าเข้ามานะ แต่มันไม่เกิดการเติบโต ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นมันเริ่มมีโรงงานรับผลิตเยอะมาก” และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอและเพื่อนๆ ตัดสินใจหันม าทำแบรนด์ของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

นำความรู้ที่มี…มาต่อยอด : 

ในสายอาชีพของเภสัชกรแล้ว จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยต่างๆ ทำให้เธอมีสูตรมาตรฐาน รวมไปถึงสารสกัดที่ดีงามจากประเทศอยู่ในมือเพียบ จึงตกผลึกว่า…อ่ะ งั้นมาลองทำโปรดักซ์ของตัวเองกันดูซักตั้ง “ตอนแรกเราทำสินค้าออกมาเยอะมาก เป็น 300-500 อย่างเลย ลองขายตามช่องทางต่างๆ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จอีก ตอนหลังเลยลองพัฒนาครีมในรูปแบบที่ราคาไม่แพง แต่ยังคงคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ดีอยู่ แล้วไปตัดทอนในส่วนของแพคเกจจิ้งลง เลยได้ออกมาเป็นลักษณะของครีมซอง”

ทำไมต้องเป็นชื่อ “Smooto”

พอฟังครั้งแรกทุกคนก็จะแบบเฮ้ยแกรรรร…นี่มันแบรนด์ญี่ปุ่นชัวร์ แต่…ผิดค่ะ สมูทโตะคือแบรนด์สัญชาติไทยล้านเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่เขาได้ความรู้ เทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวไกด์ไลน์สูตร ความรู้ ตัวแพตเกจจิ้งดีไซน์ มาจากญี่ปุ่น “อย่างที่รู้กันดีว่าญี่ปุ่นเขามี know-how เรื่องเครื่องสำอาง สกินแคร์ดีอยู่แล้ว แต่เวลาที่เอาผลิตภัณฑ์เค้ามาใช้กับเราเลยจริงๆ มันอาจจะยังไม่เหมาะสม เพราะประเทศเค้าเป็นประเทศเมืองหนาว เลยจะเน้นเรื่อง Moisturizer แต่บ้านเราเป็นเมืองร้อน ก็ต้องปรับในเรื่องของ Texture ความชุ่มชื้น การซึมลงผิว ความเบาสบาย ให้เข้ากับคนไทย ส่วนเรื่องจุดด่างดำ ไวท์เทนนิ่ง ที่เป็นความต้องการพื้นฐานของคนเอเชีย ตรงนี้เราก็เอามาใช้ได้”

คาแรคเตอร์ของแบรนด์ Smooto และ Target คือลูกค้ากลุ่มไหน :

ตอนที่เริ่มพัฒนาสูตร ทางแบรนด์เขาตั้งโจทย์ไว้ว่า ให้ตัวผลิตภัณฑ์มีคุณภาพดีที่สุด แต่ราคาไม่แพง ทำให้สินค้าทุกตัวของสมูทโตะ ต้องมีความปังในแง่คุณภาพที่เหมือนสินค้าราคาแพง แต่เขาไปลดต้นทุนของ Packaging ลง ซึ่งกลุ่มอายุที่เขาวางไว้เป็น Target ก็คือ 20 – 30 ปี แต่เดี๋ยวนี้เด็กน้อยก็เริ่มใช้เครื่องสำอางกันแล้ว ก็ทำให้บางทีลูกค้าของแบรนด์ลงไปถึงอายุ 15 เลยก็มีจ้า เริ่ดป่ะละ งานนี้แพคเกจจิ้งเขาก็ดีไซน์เน้นความสดใส เพื่อเอาใจกลุ่มวัยรุ่นรัวๆ คะซิส และความสดใส สดชื่น มีชีวิตชีวานี่แหละ ก็เป็นคาเรคเตอร์หลักของแบรนด์นี้นั่นเอง

เน้นความเป็นธรรมชาติ…ด้วยสารสกัดตัวท๊อป : 

ด้วยคอนเซปต์แบรนด์ที่เขาวางไว้ ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงขายดี้..ขายดี “เวลาเราจะเลือกสารสกัดจากธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมในโปรดักซ์เรา เราจะเลือกจากฐานข้อมูลที่เรามี อย่างแรกคือต้องเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ พยายามเลือกสิ่งที่สามารถเห็นผลได้จริง และผู้บริโภคยอมรับในสินค้าได้ง่าย เพราะกลุ่มทาร์เกตเราเป็นวัยรุ่น เพราะฉะนั้นเขาไม่ชอบอะไรที่ซับซ้อน” และตัวแรกที่เรียกว่าระเบิดความปังให้ทุกคนรู้จักแบรนด์นี้นั่นก็คือ สารสกัดจากมะเขือเทศในซีรีย์แรก และอโลเวลา สเนล ในซีรีย์ต่อมา

และนี่คือ….พระเอก & นางเอก ของ Smooto : 

ในบรรดาสินค้าที่มีอยู่ประมาณ 20 ตัวของสมูทโตะ ถ้าจะให้ยกตัวเด่นที่ดังเปรี๊ยงปร๊าง แบบใครไม่รู้จักนี่เอ้าท์แบบสุดๆ แล้วล่ะก็ คุณปุ๊กขอแนะนำเป็นสองตัวนี้เลย “Tomato Collagen White Serum เป็นเซรั่มมะเขือเทศ 1 ซองนี่เทียบเท่ากับสารสกัดมะเขือเทศ 10 ลูก ตัวนี้ได้รับ 7 Innovation Awards 2016 รองชนะเลิศอันดับ 1 ด้านเศรษฐกิจ ผลงานเวชสำอางค์บำรุงผิว ในการประกวดรางวัลสุดยอดนวัตกรรม ปี 2559 และรางวัล Skincare Popular Vote จากนิตยสาร Lemonadeทำให้เราเริ่มเป็นที่รู้จัก และอยู่ในใจของลูกค้า ส่วนอีกตัวที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ตอนนี้ก็คือ Aloe-E Snail Bright Gel ที่เหมาะกับคนเป็นสิวง่าย ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ตัวนี้ตอบโจทย์ได้ครบ ทั้งพอก ทา บำรุงผิวหน้า ผิวกาย คุณประโยชน์มากมายใน 1 เดียว”

 

กว่าจะ “ปัง” ก็เคยผ่านความ “แป้ก” มาหลายครั้ง

เธอเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความสตรอง เพราะบอกเลยว่ากว่าที่แบรนด์ของเธอจะมาดังระเบิดความปังได้อย่างทุกวันนี้ เธอก็เคยผ่านการล้มลุก คลุกคลาน ผิดหวัง มาแล้วหลายครั้ง “เราเป็นเภสัชกร เรามาจากสายวิชาการ เราไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจด้านการตลาด ในวันแรกๆ เรามีสินค้า 300-500 ตัว ซึ่งเยอะมาก เพราะเราคิดว่าไม่ว่าลูกค้าเปิดมาดูอะไร มันต้องมีซักตัวที่ตรงใจเขา แต่ในปีแรก ยอดขายมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ทำให้เราเรียนรู้ว่าการที่เราทำของหน้ากว้างโดยไม่ได้มองความต้องการของลูกค้าจริงๆ ไม่ได้เข้าใจคำว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคืออะไร ซึ่งมันต้องใช้เวลาเรียนรู้เป็นปี จากปีแรกที่เราขายได้หนึ่งล้านบาทกับการมีสินค้าสามสี่ร้อยตัว จนมาวันนี้ที่เรามีสินค้าเหลือแค่ 20 ตัว แต่กลับสร้างยอดขาดได้มากกว่า มันทำให้เราเข้าใจและเรียนรู้คำว่าการตลาด ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย Customer Insight มากขึ้น”

และคติในการทำงานที่ทำให้เธอได้ก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายบิ้วตี้ ได้อย่างในทุกวันนี้นั่นก็คือ “งานทุกอย่างเป็นเรื่องของการเรียนรู้ ตราบเท่าที่เรายังเรียนรู้ ยอมรับทั้งโอกาสและปัญหา เราก็จะสามารถรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันไม่มีอะไรสมูท ให้พยายามเรียนรู้ไปกับมัน ปัญหาหรืออุปสรรคคือสิ่งที่สร้างประสบการณ์และความแข็งแกร่งให้กับเรา”

 

คลับซิสเตอร์ขอปรบมือรัวๆ ให้กับความสตรองและอินโนเวทีฟแบบสุดๆ ของพี่ปุ๊ก

ที่ทำให้สาวๆได้มีสินค้าคุณภาพดีงาม ในราคาเบาๆ ให้ได้อัพความสวยกันอย่างในทุกวันนี้ด้วยค่า….

 

Comments

comments